วันนี้ (14 สิงหาคม) ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระที่ 2-3 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคม ซึ่งเป็นการพิจารณาเป็นรายมาตรา (วาระ 2) เป็นวันที่สอง
ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน อภิปรายแปรญัตติงบประมาณกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เสนอให้ปรับลดราคากลางการจัดซื้อบัตรประจำตัวประชาชนให้ใกล้เคียงกับราคาซื้อจริง หลังตรวจพบว่าที่ผ่านมา ราคาซื้อบัตรต่ำกว่าราคาที่ตั้งเพดานไว้หลายครั้ง
ณัฐพล อภิปรายว่า บัตรประชาชนจะประกอบด้วยบัตรสีฟ้า ที่มีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 16.74 บาท และวัสดุเคลือบป้องกันการปลอมแปลง ต้นทุนอยู่ที่ 19.67 บาท เฉลี่ยรวม 36.41 บาทต่อบัตร ซึ่งคำของบประมาณที่ขอมาจากกรมการปกครองนั้น ค่าเฉลี่ยงบประมาณการซื้อบัตรและการซื้อวัสดุเคลือบทั้งปี 2568 และ 2569 เท่ากัน ต่างกันแค่จำนวน ประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อให้สต็อกไม่ขาด และไม่มีปัญหาในแต่ละปี โดยปัญหาเมื่อเปรียบเทียบดูย้อนหลังแล้ว จะพบว่าในปี 2566 และปี 2567 ซื้อได้ในราคา 13-14 บาทต่อบัตร
ส่วนในปี 2568 มีการซื้อบัตรประชาชนไป 2 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกเป็นการซื้ออย่างเร่งด่วนด้วยวิธีการคัดเลือก ซึ่งซื้อในราคา 18.50 ต่อบัตร ส่วนลอตที่สองซื้อได้ในราคา 15.55 บาทต่อบัตร โดยไม่ได้เป็นไปตามคำขอ เมื่อข้อมูลปรากฏเช่นนี้ ตนเองได้พูดคุยกับกรมการปกครองในชั้นกรรมาธิการว่า หากซื้อจริงไม่ถึงจำนวนนี้ ขอปรับลดยอดที่ขอมาได้หรือไม่ ให้ใกล้เคียงกับยอดที่มีการจัดซื้อจริง
ทั้งนี้ ราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 6 ปีใน 8 ลอตของการซื้อบัตรประชาชนจะอยู่ที่ 16.74 บาทต่อบัตรโดยกรมการปกครองก็ทราบ แต่ยังยืนยันที่จะขอซื้อบัตรประชาชนในใบละ 19.581 บาทเท่าเดิม โดยกรมการปกครองให้เหตุผลว่า การตั้งราคาเผื่อไว้เพื่อรองรับความผันผวนของต้นทุนชิปและเทคโนโลยี แต่จากข้อมูลย้อนหลัง 3-4 ปี ไม่พบว่าต้นทุนมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งการประมูลอี-บิดดิงลอตใหญ่ปี 2568 มีบริษัทเสนอราคาต่ำสุดเพียง 13.51 บาทต่อบัตร แต่ไม่มีบริษัทใดผ่านคุณสมบัติ
ณัฐพลย้ำว่า หากปรับเพดานราคาให้ใกล้เคียงราคาซื้อจริง จะสามารถประหยัดงบได้ 30-40 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำไปใช้กับโครงการอื่นที่จำเป็นของกระทรวงมหาดไทยได้ พร้อมระบุว่า “เรื่องบัตรประชาชนเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราสามารถทำให้ประหยัด และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่านี้ได้”