×

ความหวังที่ผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะได้รับการคุ้มครองในรัฐบาลนี้ เปรียบเหมือนดวงดาวหรืออุกกาบาต

โดย THE STANDARD TEAM
21.03.2025
  • LOADING...
นักปกป้องสิทธิมนุษยชน

เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา องค์กร Protection International (PI) เปิดตัวรายงาน ‘การต่อต้านคือพลัง’ เสริมสร้างกลไกคุ้มครองผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย พร้อมจัดเวทีเสวนา ‘รัฐบาลเพื่อไทยอยู่ดาวดวงไหน ในกลไกการคุ้มครองผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน’ ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ประจำกรุงเทพฯ

 

วงสนทนาดังกล่าวประกอบด้วยตัวแทนผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนร่วมงาน พร้อมทั้งตัวแทนสถานทูต เช่น สวีเดน ฝรั่งเศส และเยอรมนี รวมทั้งสหภาพยุโรปและ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR)

 

 

รายงานชี้ ผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิถูกกดขี่ด้วยกฎหมาย

 

ปรานม สมวงศ์ และ สุธีรา เปงอิน ตัวแทน Protection International (PI) ได้แถลงเปิดรายงาน ‘การต่อต้านคือพลังฯ’ ที่เป็นการลงพื้นที่รับฟังเสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกว่า 110 คนทั่วประเทศไทย โดยมีเนื้อหาที่สำคัญว่า ผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยยืนหยัดต่อสู้ ในการปกป้องแผ่นดิน ทรัพยากร ความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิแรงงาน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และความเป็นธรรมภายใต้ภาวะของทุนผูกขาด ทำให้ภายใต้ความกล้าหาญนี้กลับถูกตอบแทนด้วย การกดขี่เชิงโครงสร้าง การดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม การใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคาม การสอดแนม และการใช้ความรุนแรง

 

สะท้อนจากการที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคดีฟ้องร้องเชิงยุทธศาสตร์ต่อการมีส่วนร่วมของสาธารณะ (SLAPPs) มากที่สุดในอาเซียน จากรายงานของ Protection International พบว่า ตั้งแต่หลังรัฐประหาร ในเดือนพฤษภาคม 2557 ถึง กุมภาพันธ์ 2568 พบว่ามีผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกฟ้องปิดปากทั้งหมด 595 คดีจาก 13 ฐานความผิด 

 

“ทุกเดือนจะมีอย่างน้อยสองคนที่ต้องเผชิญการถูกใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคาม ในฐานความผิดต่างๆ”

 

 

สุธีรา เปงอิน (ซ้าย) และ ปรานม สมวงศ์ (ขวา)

 

ขณะที่กองทุนยุติธรรมซึ่งควรเป็นที่พึ่งของผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลับเต็มไปด้วยเงื่อนไขยุ่งยากจากระบบ และเจ้าหน้าที่ผู้ขาดความรู้ความเข้าใจปฏิเสธไม่ให้เข้าถึง ทำให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดคือผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลับเข้าไม่ถึงสิทธิของตนเอง

นอกจากนี้ยังต้องเผชิญกับอำนาจของกลุ่มทุนที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การต่อต้านโครงการเหมืองแร่ โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ และการละเมิดสิทธิแรงงาน กำลังถูกคุกคามหนักขึ้นโดยภาคธุรกิจใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดการเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมและการปกป้องสิทธิมนุษยชนของพวกเธอ 

จึงนำมาสู่ข้อเรียกร้องดังนี้ 

  1. กระทรวงยุติธรรมต้องมีคำนิยามและมีการรับรองทางกฎหมาย และการคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ให้สอดคล้องกับ ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (1998) เนื่องจากปัจจุบันเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมยังไม่เข้าใจว่านักปกป้องสิทธิคือใคร 

 

  1. ยุติคดีฟ้องร้องเชิงยุทธศาสตร์ต่อการมีส่วนร่วมของสาธารณะ และการใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคามอย่างเด็ดขาด ผ่านการออกกฎหมายต่อต้าน SLAPPs โดยทันทีและกฎหมายนี้ต้องมีผลผูกพันทางกฎหมายที่ใช้บังคับ

 

  1. การปฏิรูปกองทุนยุติธรรมให้สามารถเข้าถึงได้โดยแท้จริง ลดข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรค และรับรองว่าผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างเป็นธรรม และทันท่วงทีจากที่ในปัจจุบันนักปกป้องสิทธิบางคนใช้เวลานานกว่า 33 เดือนก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือแต่อย่างใด 

 

  1. สร้างความรับผิดชอบของรัฐและภาคธุรกิจ ในการปกป้องผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยกำหนดมาตรการคว่ำบาตรและกลไกตรวจสอบที่เข้มงวด 

 

  1. ฟื้นฟูความเป็นอิสระของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อให้สามารถทำงานด้านสิทธิมนุษยชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปราศจากอิทธิพลทางการเมืองและการแทรกแซงจากหน่วยงานความมั่นคงและทหาร 

 

ตลอดจนข้อเสนอต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติในการทำงานกับนักสิทธิมนุษยชนกับชุมชน เช่น สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องแก้ปัญหาจากรากเหง้าต้นเหตุความรุนแรง ดังนั้นจึงต้องยกเลิกกฎอัยการศึก หรือกฎหมายพิเศษต่างๆ ที่ละเมิดสิทธิประชาชน และเป็นการลงทุนที่ไม่ชอบธรรม เช่น โครงการแลนด์บริดจ์

 

 

 

 

ทวงถามความยุติธรรมและหลักสิทธิมนุษยชนสากลในรัฐบาลนี้

อังคณา นีละไพจิตร สว. ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า การคุกคามนักปกป้องสิทธิเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาคือการ ลอบสังหาร ทรมาน และบังคับสูญหาย ซึ่งคดีทั้งหมดไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ แต่รูปแบบการคุกคามใหม่ คือการฟ้องร้องดำเนินคดี ด้อยค่า มีการโจมตี การใช้เรื่องเพศเป็นเครื่องมือทำให้ไร้ค่า 

 

“ตอนรัฐบาลแถลงนโยบายใช้คำสละสลวยเรื่องสิทธิมนุษยชน การมีหลักยุติธรรมและธรรมาภิบาล รวมทั้งไปรับคำมั่นจากต่างประเทศในการปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ที่การมีคำมั่นที่ดี แล้วจะเกิดการปฏิบัติ ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงวันนี้ไม่มีการปฏิบัติจริง ทั้งนี้เห็นว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการเยียวยาด้านจิตใจกับผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ และต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่คุ้มครองนักต่อสู้ปกป้องสิทธิ เช่น กฎหมายอุ้มหายทรมาน ขณะเดียวกันต้องยกเลิกการดำเนินคดีเพื่อปิดปากนักต่อสู้เรียกร้องสิทธิรวมถึงกระทรวงยุติธรรม” อังคณาระบุ

 

 

อังคณา นีละไพจิตร

 

 

ด้าน ธนพร วิจันทร์ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิแรงงาน กล่าวว่า ตนและเครือข่ายแรงงานถูกดำเนินคดีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนมาถึงรัฐบาลเพื่อไทย การดำเนินคดีกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ล่าสุดมีการรื้อคดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปี 2564 ที่ยกเลิกไปนานมากแล้ว มาฟ้องร้องพวกตน ที่ไปเรียกร้องให้มีการฉีดวัคซีนโควิดให้กับแรงงานข้ามชาติ 

“ไม่ใช่บทบาทหน้าที่ของรัฐที่จะต้องมาฟ้องประชาชน แต่ควรที่จะแก้ไข วันนี้ต้องถามว่ากระบวนการยุติธรรมของรัฐบาลเพื่อไทย อยู่ไหน ยุติธรรมกี่โมง ขอให้รัฐบาลทำอะไรสักเรื่องให้ประชาชนได้หรือไม่ ไม่รู้ว่ารัฐบาลเพื่อไทยทำเพื่อใคร สิ่งที่เราเห็นคือกลุ่มทุน และพวกพ้อง พรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชนตรงไหน พรรคเพื่อไทยหัวใจคือทักษิณ” ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิแรงงานระบุ

 

 

ธนพร วิจันทร์

 

นักปกป้องสิทธิโวย รัฐบาลจากการเลือกตั้งใช้กฎหมายข่มขู่ประชาชน

สมปอง เวียงจันทร์ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากสมัชชาคนจนเขื่อนปากมูล กล่าวว่า เมื่อออกมาคัดค้านเขื่อนปากมูล ตนถูกตั้งข้อกล่าวหาในคดีกบฏ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก ทั้งที่พวกตนปกป้องแม่น้ำมูลแหล่งอาหารที่ใหญ่ที่สุดของชาวบ้าน แต่ยังต้องเจอกับการคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐที่มาติดตามตน และพยายามให้พวกตนไปในสถานที่ที่เสี่ยงกับการถูกดำเนินคดีเพื่อยัดเยียดข้อกล่าวหาร้ายแรงให้ 

 

สมปองระบุว่า จากกรณีดังกล่าวจึงเกิดความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลที่ถูกเลือกตั้งเข้ามา แทนที่จะแก้ปัญหาให้ชาวบ้านในเรื่องที่สิทธิทำกิน สิทธิที่อยู่อาศัย แต่กลับมาใช้กฎหมายมากดทับพวกตน ส่วนตัวเห็นว่ารัฐบาลประชาธิปไตยควรให้สิทธิชาวบ้านในการเรียกร้อง และปกป้องชาวบ้านที่รักษาสิทธิในการปกป้องแม่น้ำ

 

 

สมปอง เวียงจันทร์

 

ขณะที่ อัสมาดี บือเฮง นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักข่าวพลเมืองชายแดนใต้ กล่าวว่า ในช่วงโควิดมีชาวบ้านในพื้นที่ถูกวิสามัญกว่า 60 ราย ตนก็เช่นเดียวกันที่ถูกดำเนินคดี หลังจากเขาไปสังเกตการณ์ในเหตุการณ์ที่แม่พยายามเข้าไปรับศพลูกชายที่ถูกวิสามัญที่โรงพยาบาล ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายต่อกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะคำถามต่อความเป็นมนุษย์ ที่ลูกชายตาย และแม่ถูกดำเนินคดี ทั้งที่ปัญหาในจังหวัดชายแดนใต้จะต้องใช้การเมืองแก้ปัญหา 

 

“รัฐบาลเพื่อไทยมีบาดแผลในคดีตากใบ และรัฐบาลก็เป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขที่ทำให้ กอ.รมน. เดินหน้านโยบายการปราบปรามใหญ่ขึ้น และรัฐบาลในปัจจุบันก็ไม่มีเจตจำนงทางการเมืองแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ยังมีการเจรจาสันติภาพ ทำให้การไปเยือนของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งสองครั้งมีแรงเหวี่ยงกลับมาอย่างมีนัยสำคัญ อยากฝากให้ทุกคนติดตามการดำเนินคดีภาคประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะเป็นจุดวิกฤตเปลี่ยนสถานการณ์ให้รุนแรงมากขึ้นได้” อัสมาดีระบุ

 

อัสมาดี บือเฮง

 

ประกาศเจตจำนงการเมือง ก้าวแรกสู่การปกป้องสิทธิ

ขณะที่ ชลธิชา แจ้งเร็ว สส. ปทุมธานี พรรคประชาชน กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้ต้องหาและจำเลยรวม 28 คดี จึงเข้าใจถึงปัญหาของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิที่ได้รับการคุกคามต่างๆ โดยเฉพาะการคุกคามบนโลกออนไลน์ในมิติทางเพศ ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงสภาพจิตใจของคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างมาก ทำให้บรรยากาศการเคลื่อนไหวหดแคบลง หรือแม้แต่งานการเมืองเองก็ไม่ได้มีการสร้างบรรยากาศความปลอดภัยให้กับผู้หญิงในการทำงานการเมืองแต่อย่างใด 

“ดัชนีชี้วัดประชาธิปไตยของประเทศ ไม่ได้ดูแค่กลไกของการเลือกตั้ง แต่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมด้วย ที่ผ่านมานักต่อสู้จำนวนมากถูกคุกคาม มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพหนักขึ้นเรื่อยๆ พรรคเพื่อไทยเคยโฆษณาตัวเองเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย แต่ทำไมตัวเลขคดีความในยุคไม่ลดลง มีการหยิบคดีใน คสช. ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง แม้แต่คนเป็น สส. เองก็ไม่ปลอดภัย ถูกฟ้องโดยรัฐมนตรี ไม่เห็นถึงแนวโน้มในทิศทางที่ดีขึ้นเลย”

ชลธิชาระบุด้วยว่า เจตจำนงทางการเมืองในการผลักดันต่างๆ เป็นบันไดขั้นแรก แต่วันนี้ไม่เห็นเจตจำนงทางการเมืองจากเพื่อไทย ซึ่งขอทวงถามถึงเรื่องนี้ เพราะตราบใดที่ไม่มีเจตจำนงทางการเมือง จะนำไปสู่ก้าวต่อไปในการปกป้อง และคุ้มครองนักปกป้องสิทธิได้อย่างไร และหวังว่าจะยกเลิกโทษหมิ่นประมาทอาญา ซึ่งจะทำให้เห็นเป็นทิศทางและการกำกับที่ดีต่อไป

 

ชลธิชา แจ้งเร็ว

 

ด้านปรานมกล่าวว่า รัฐบาลเพื่อไทยได้อำนาจมาแล้ว แต่ไม่มีประชาชนในหัวใจ ไม่เอื้อต่อการสร้างสภาวะแวดล้อมในการปกป้องนักสิทธิมนุษยชน สะท้อนได้จากการจำกัดสิทธิเสรีในการชุมนุมเรียกร้องของประชาชน การไม่ให้ความสำคัญกับการลุกขึ้นมาต่อสู้ของประชาชน ทั้งเรื่องของสหภาพแรงงาน และปลาหมอคางดำ รวมทั้งท่าทีของของ กอ.รมน. ต่อสิทธิการแสดงออกของประชาชนโดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนใต้ เช่นเดียวกับในวันนี้ที่ทาง PI ได้เชิญตัวแทนรัฐบาลเพื่อไทยมาเช่นกันแต่ได้รับคำตอบว่าติดภารกิจ ทั้งที่การออกรายงานครั้งที่แล้วมีการส่งตัวแทนมา

 

“วันนี้การที่เรามีนักการเมืองผู้หญิง มีผู้มีอำนาจเป็นผู้หญิง ถือเป็นเรื่องดี แต่อำนาจของที่นายกรัฐมนตรีผู้หญิงมี ควรกระจายเพื่อสร้างความยุติธรรมและลดความเหลื่อมล้ำให้กับผู้หญิงทั้งประเทศ ไม่ควรอยู่ในมือผู้หญิงตระกูลใดตระกูลหนึ่งที่หรืออำนาจใดอำนาจหนึ่ง แต่ควรต่อสู้เพื่อให้ประเทศนี้มีการโอบอุ้มและปกป้องผู้หญิงและประชาชนในทุกชนชั้น” ปรานมกล่าวทิ้งท้าย 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising