เมื่อวานนี้ (6 มี.ค.) หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) ได้นำสมาร์ทโฟนจอพับได้ ‘Huawei Mate X’ บินลัดฟ้ามาโชว์ตัวที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก เปรยยังไม่มีกำหนดวันวางจำหน่าย และราคาอย่างเป็นทางการ แต่ในระหว่างนี้จะพัฒนาเทคโนโลยีการกางและพับจอให้เสถียรที่สุด
พลภัทร์ สายบัวทอง ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) ได้นำ Mate X มาอวดโฉมต่อหน้าสื่อมวลชนไทยเป็นครั้งแรก พร้อมชูจุดเด่นของการเป็นสมาร์ทโฟนจอพับได้ 5G เครื่องแรกของโลกที่ยอดเยี่ยมทั้งด้านดีไซน์ และเทคโนโลยี (World’s Fastest Foldable 5G Phone)
ดีไซน์หน้าจอของ Mate X เป็นแบบ Full view OLED Display ไม่มีติ่ง Notch หรือกล้องหน้ามาบังหน้าจอ (6.8 นิ้ว) พร้อมแถบกล้อง Leica ที่จอหลัง 6.38 นิ้ว เช่นเดียวกันกับจอแบบ Full View ที่กางออกมาขนาด 8 นิ้ว ส่วนการปลดล็อกหน้าจอเนื่องจากไม่มีกล้องหน้า จึงใช้เทคโนโลยีการสแกนลายนิ้วมือฝังในหน้าจอ และปุ่มเปิด-ปิดด้านข้างตัวเครื่อง
การพับและกางเปิดหน้าจอใช้เทคโนโลยี Falcon Wing Design ที่ทางหัวเว่ยบอกว่าใช้เวลาถึง 3 ปีในการพัฒนาดีไซน์การพับกางจอรูปแบบนี้เพื่อให้สมูธและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานที่สุด ความหนาของตัวเครื่องตอนพับอยู่ที่ 11 มม. เมื่อกางจอออกมาตัวเครื่องจะมีความหนาอยู่ที่ 5.4 มม.
จุดที่จะลืมพูดถึงไม่ได้คือ Mate X รองรับการใช้งานเทคโนโลยีเชื่อมต่อแบบ 5G ผสานการทำงานร่วมกันระหว่าง Balong 5000 ชิปเซตโมเด็ม 5G ที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้ และชิปเซต Kirin 980 แบตเตอรี่อยู่ที่ 4500 mAh รองรับการชาร์จเร็ว Fast Charge ที่ 55W ซึ่งเคลมว่าเร็วที่สุดในตลาดสมาร์ทโฟน ณ ปัจจุบัน
ส่วนประสบการณ์การใช้งาน Mate X รองรับการทำงานแบบ Multi-task คล้ายกับค่ายคู่แข่งที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้ แต่ลูกเล่นที่หวือหวากว่าคือ ‘Mirror Shooting’ หรือการถ่ายรูปในโหมดพับจอที่ช่วยให้คนที่ถูกถ่ายภาพเห็นรูปของตัวเองผ่านจอหลังได้ อย่างไรก็ดี หัวเว่ยระบุว่าตอนนี้ยังไม่มีกำหนดการวางจำหน่ายและราคาอย่างเป็นทางการออกมา แต่ในระหว่างนี้จะพัฒนาเทคโนโลยีการกางและพับจอให้เสถียรที่สุด ซึ่งต้องตามกันต่อว่าราคาเปิดตัวในงาน MWC ที่ 2,600 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 81,500 บาท เมื่อนำเข้าไทยมาแล้วจะอยู่ที่เท่าไร
“เราใช้เวลา 3 ปีในการพัฒนาดีไซน์นี้เพื่อให้การพับกางหน้าจอสวยงาม และมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่สุด ก่อนหน้านี้จอพับได้เป็นเทคโนโลยีที่มีมานานแล้ว แต่ยังไม่ถูกเปิดตัวออกมาสักที เนื่องจากยังไม่สามารถแก้ปัญหาในการพับหน้าจอให้มีประสิทธิภาพได้
“หัวเว่ยลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี 5G มานานกว่า 10 ปี และใช้ทุนพัฒนาในปี 2018 ไปกว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐ เรามีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้มากกว่า 500 คน พร้อมศูนย์ R&D 5G มากกว่า 9 แห่งทั่วโลก นอกจากนี้เรายังเป็นบริษัทเดียวที่ทำ end to end product ของ 5G ได้ครบวงจร นี่จึงเป็นเหตุผลที่ 5G ของเราดีกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน” พลภัทร์ กล่าวทิ้งท้าย
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
