มองภาพเศรษฐกิจการลงทุนโลกในช่วงใกล้สิ้นปี นับว่าเป็นภาพที่ว้าวุ่นไม่น้อย ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 5% ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นนับจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์กลับมา ขณะที่เศรษฐกิจจีนที่ตัวเลขล่าสุดอาจดูดีเกินคาด แต่ทางการก็กระตุ้นทั้งนโยบายการเงินและการคลังขนานใหญ่ ด้านสงครามเต็มรูปแบบระหว่างอิสราเอลกับฮามาสก็กลับมารุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นในรอบหลายสิบปี โลกเรากำลังเกิดอะไรขึ้น และจะลงทุนอย่างไร เรามาหาคำตอบกัน
ในประเด็นผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้นนั้น เรามองว่าเป็นผลจาก
- การส่งสัญญาณ Higher for Longer (หรือดอกเบี้ยจะสูงยาวนานขึ้น) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังดีต่อเนื่อง โดยล่าสุด GDP ไตรมาส 3/23 ของสหรัฐฯ ประกาศครั้งแรกอยู่ที่ 4.9% ต่อปีเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สูงกว่าคาดที่ 4.5% ผลจากการบริโภคที่พุ่งขึ้นถึง 4% สูงสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่ความเสี่ยงเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงยาวนานขึ้นหลังจากสงครามอิสราเอล-ฮามาสที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ
- การขาดดุลการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยตามการประมาณการของ Fitch ในเดือนสิงหาคม คาดการณ์ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นจาก 3.7% ต่อ GDP ในปี 2022 เป็น 6.3% ในปีนี้ และ 6.9% ในปี 2025 ผลจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีมาตรการสวัสดิการประชาชนต่อเนื่อง แต่ขณะที่การลดการใช้จ่ายภาครัฐรวมถึงขึ้นภาษีทำได้น้อยเกินไป และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ Fitch ปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐฯ ซึ่งการคำนวณดังกล่าวยังไม่รวมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสงครามในตะวันออกกลางและสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่อาจยืดเยื้อ
- จากมาตรการการถอนสภาพคล่องของ Fed ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น ที่ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นเพิ่มขึ้น ขณะที่มาตรการถอนสภาพคล่อง (QT) เดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ก็มีส่วนทำให้ผลตอบแทนพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน โดยปัจจุบันงบดุลของ Fed ลดลงจากประมาณ 9 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงต้นปี 2022 สู่ 8 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรที่พุ่งขึ้นจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของภาครัฐและธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยที่ผ่านมากระทรวงการคลังสหรัฐฯ คาดว่า ค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1.62 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่บนสมมติฐานว่าดอกเบี้ยเฉลี่ยของหนี้สาธารณะอยู่ที่ 3% (แต่ขณะนี้ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีอยู่ที่ประมาณ 5% บ่งชี้ว่ารายจ่ายดอกเบี้ยมีโอกาสถูกปรับขึ้นอีก) ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ของประชาชนและภาคเอกชนเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยล่าสุดดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน 30 ปี อยู่ใกล้เคียงระดับ 8% ซึ่งจะลดทอนความสามารถในการใช้จ่ายของประชาชนในอนาคต
เป็นที่น่าสนใจว่า จากสถิติตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา ในช่วงก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย 4 ครั้งหลัง เมื่อ Yield Curve กลับมาเป็นปกติ (ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตร 2-10 ปีเป็นศูนย์) หลังจากที่เคยเกิดภาวะ Inverted Yield Curve หรือผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว จะใช้เวลาประมาณ 4-8 เดือน ก่อนที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
โดยแม้ว่าปัจจัยเรื่องผลตอบแทนพันธบัตรจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่จะนำไปสู่เศรษฐกิจถดถอย แต่ก็เป็นปัจจัยทางจิตวิทยาที่บ่งชี้ว่าตลาดการเงินและประชาชนรู้สึกว่าดอกเบี้ยสูงเกินไป และเชื่อว่าเศรษฐกิจจะถดถอย และธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ย จึงทำการซื้อพันธบัตรระยะสั้นไว้ก่อน ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นลดลง และมักจะเกิดขึ้นก่อนการลดดอกเบี้ยนโยบายเสมอ
และในปัจจุบัน ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะปกติ โดยผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี อยู่ที่ประมาณ 4.9-5.0% ขณะที่ 2 ปี อยู่ที่ 5.0-5.1% (ทำให้ส่วนต่างระหว่างพันธบัตร 2-10 ปีติดลบเล็กน้อย จากที่เคยติดลบในระดับใกล้เคียง -1% ในช่วงก่อน) ทำให้เรามองว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้น ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
โดยในปัจจุบัน แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะยังดูแข็งแกร่ง แต่หลายฝ่ายเริ่มออกมามองมากขึ้นว่า การบริโภคที่อยู่ระดับสูงและเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3/23 จะเริ่มอ่อนกำลังลงเพราะต้นทุนทางการเงินและค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่ค่าจ้างเริ่มขยายตัวลดลงต่อเนื่อง ท่ามกลางดอกเบี้ยระยะยาวที่น่าจะลดลงลำบากขึ้นหลังรัฐบาลขาดดุลการคลังมากขึ้น และด้วยดอกเบี้ยระยะยาวที่อยู่ในระดับสูง จะเป็นตัวกดดันภาคบริการและการจ้างงานในระยะถัดไป
ในส่วนของสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส หลายฝ่ายมองว่าอาจมีแนวโน้มยืดเยื้อ โดยช่วงที่ผ่านมามีพัฒนาการทั้งบวกและลบจาก 1. อียิปต์จัดให้มีการประชุมสุดยอดสันติภาพในประเด็นฉนวนกาซา แต่ยังเป็นความพยายามเบื้องต้นเนื่องจากไม่มีคู่กรณี ได้แก่ อิสราเอลและฮามาส รวมถึงสหรัฐฯ เข้าร่วม 2. อิสราเอลอนุญาตให้สหประชาชาติส่งความช่วยเหลือฉนวนกาซาได้ 3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอิสราเอล ประกาศแผน 3 ระยะสำหรับการจัดการสงครามอิสราเอล-ฮามาส คือโดยจะยังโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดิน รวมถึงการยกเลิกความรับผิดชอบของอิสราเอลในฉนวนกาซา และ 4. ฮามาสเริ่มมีการปล่อยตัวประกันกลุ่มแรก อย่างไรก็ตาม อิสราเอลยังคงยิงขีปนาวุธถล่มกาซาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสสังคมโลกเริ่มต่อต้านหลังมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
เราวิเคราะห์ว่าในส่วนของอิสราเอล มีความตั้งใจจะถอนกลุ่มฮามาสจากการปกครองฉนวนกาซา และตั้งให้เป็นพื้นที่ปกครองตนเองเช่นเดียวกับฝั่งเวสต์แบงก์ อย่างไรก็ตาม การที่อิสราเอลยังไม่บุกภาคพื้นดิน เป็นเพราะกระแสสังคมโลกเริ่มต่อต้าน หลังกองทัพอิสราเอลโจมตีทางอากาศอย่างหนักจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รวมถึงมีข้อเสนอแนะจากสหรัฐฯ ว่าหากส่งทหารบุกเข้ากาซาแล้วจะถอนออกลำบาก
ถัดมา เรามองว่าความพยายามจัดการประชุมสุดยอดสันติภาพเป็นขั้นแรกของการหาหนทางยุติในสงครามครั้งนี้ แต่ไม่ง่ายเนื่องจากไม่มีตัวแทนของคู่ขัดแย้ง คืออิสราเอลและฮามาส รวมถึงไม่มีสหรัฐฯ โดยเรามองว่าจะต้องมีการเจรจาในลักษณะดังกล่าวอีกหลายครั้ง และกินเวลา 1-2 เดือนเป็นอย่างน้อย ก่อนที่จะมีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในการยุติสงคราม โดยระหว่างที่สงครามยังไม่ยุตินี้ ก็จะทำให้เกิดความผันผวนต่อเศรษฐกิจการลงทุนต่อเนื่อง
ในส่วนสุดท้าย ภาพเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 3 ที่เติบโตเร็วขึ้น แต่ยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะเงินฝืด โดยหากพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม อาจบ่งชี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัว 4.9% ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงอ่อนแอ ขณะที่ความเสี่ยงเงินฝืดรุนแรงขึ้น โดย IMF คาดว่าดัชนีราคาของจีน (GDP Deflator) จะลดลงในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เมื่อรวมกับค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลง Nominal GDP อาจหดตัวในรูปดอลลาร์
ภาพดังกล่าวสอดคล้องกับการที่รัฐบาลจีนส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิงไปเยือนธนาคารกลางเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ขณะที่รัฐบาลประกาศมาตรการการคลังมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน ซึ่งทำให้การขาดดุลการคลังในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 3% ของ GDP ไปสู่ 3.8% โดยเม็ดเงินดังกล่าวจะนำไปช่วยภูมิภาคต่างๆ ของจีนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม รวมถึงสนับสนุนกิจการของรัฐบาลท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตอสังหา ที่กระทบกับรายได้จากการขายที่ดินให้ผู้พัฒนาโครงการ ทั้งนี้ เรามองว่ามาตรการดังกล่าว รวมถึงการที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเดินทางไปธนาคารกลาง เป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลจะเข้ามาดูแลเศรษฐกิจเพื่อให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมาย ซึ่งเรามองว่าเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวได้ดีเกินคาดนั้น เพราะการใช้นโยบายการเงินขนานใหญ่ ทั้งจากการลดดอกเบี้ยและเพิ่มปริมาณเงินในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการดังกล่าวแม้ช่วยระยะสั้น แต่จะทำให้สถานการณ์หนี้กลับมาเป็นปัญหาอีกครั้งในระยะต่อไป และจะทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอลงอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่เกิดวิกฤตรุนแรงก็ตาม
ด้วยภาพดังกล่าว ทำให้เรามีมุมมองที่เป็นกลางต่อหุ้นจีน เนื่องจากเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ แต่แนวโน้มการออกมาตรการเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามระดับเป้าหมายที่ 5% ของรัฐบาลจีน รวมถึงราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาอาจทำให้ Downside จำกัด ในทางกลับกัน เราค่อนข้างระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ โดยตลาดยังเผชิญแรงกดดันหลักจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัว ในขณะที่การสงวนท่าทีที่เข้มงวดของ Fed และปัญหาการเมืองและการคลัง ยังอาจสร้างความผันผวนเพิ่มเติมได้
ในส่วนของไทยนั้น ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นไทยปรับลงแรงต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยแม้ว่าจะต่ำกว่าภูมิภาค แต่ในภาพรวมเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยส่วนใหญ่ในภูมิภาคเกิดแรงเทขายหนักในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังนักลงทุนวิตกกับแนวโน้มทางธุรกิจของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ รวมถึงความกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางจะขยายวงกว้าง และ Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยสูงเป็นเวลานาน ในขณะที่ปัจจัยลบของไทยเกิดจากกังวลมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยผ่านการแจกเงินดิจิทัลที่น้อยกว่าคาด
จากภาพดังกล่าว ทำให้เรามองเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นพื้นฐานดี โดยแนะนำ 3 กลยุทธ์ ดังนี้
- หุ้น Undervalued ซึ่งราคาเข้าเขต Oversold และมีพื้นฐานดี อีกทั้ง Valuation ไม่แพง เลือก BDMS, CPALL และ MINT
- หุ้นที่คาดผลประกอบการดีต่อเนื่อง เลือก AP, AOT, BLA BCH, CENTEL และ KCE
- หุ้นที่จ่ายปันผลสูง (Yield Play) เลือก BCP, BBL, KTB และ DIF
ขอให้นักลงทุนโชคดี
- รวมทุกช่องทาง InnovestX official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก คลิก: https://linktr.ee/InnovestX
- เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้! เปิดครั้งเดียวลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน โหลดเลย คลิก: https://innovestx.onelink.me/23if/stwarticleweb
- ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX คลิก: https://bit.ly/respublisher
- #InnovestX #InnovestXResearch #InnovestXApp #จักรวาลการลงทุนในมือคุณ
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้