ท่ามกลางสีสันตระการตามากมายในงานแถลงข่าวเปิดตัวลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศไทยซึ่งได้เปลี่ยนมือมาอยู่กับเจ้าใหม่ใน ‘บ้านหลังใหม่’ อย่าง JAS, MONOMAX และ AIS PLAY (ใครจะคิดว่าเราจะได้เห็น Miss World 2025 มายืนคู่กับถ้วยพรีเมียร์ลีก!)
หัวใจสำคัญที่สุดของงาน ‘New Season, New Home’ คือราคาแพ็กเกจที่ทุกคนเฝ้ารอจับตามองอยู่
เพราะจากคำพูดที่เป็น ‘คำมั่น’ ของ พี่น้อย-ดร.โสรัชย์ อัศวะประภา ของคนในวงการสื่อกีฬา บิ๊กบอสแห่ง JAS ที่รับปากว่าจะพยายามทำราคาให้ดีที่สุดเพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกอย่างพรีเมียร์ลีกได้
จากต่ำกว่า 400 ในครั้งแรก สู่ ‘สามร้อยนิดๆ’
ก่อนที่สุดท้ายจบที่ราคาต่ำที่สุด 199 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สร้างความฮือฮาได้อย่างมากในหมู่แฟนฟุตบอลอังกฤษ (ส่วนบรรดาคนที่ร่วมงานจำนวนไม่น้อยถูก ‘สปอยล์’ ไปก่อนแล้วด้วยจากข่าวที่หลุดออกมาก่อนประกาศไม่กี่นาที)
และล่าสุดสดๆ ร้อนๆ กับสุดยอดแพ็กเกจของคนออนไลน์ 1,499 สำหรับลูกค้า AIS PLAY ULTIMATE (สมชื่อ!)
เราอาจจะเรียกได้ว่านี่เป็น ‘คิกออฟ’ เขี่ยเริ่มเกม ‘สงครามสตรีมด่วน’ เลยก็ว่าได้
ย้อนกลับไปในงานเปิดตัวพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ 2025/26 ซึ่งถือเป็นวันฤกษ์งามยามดีของ JAS และ MONOMAX (รวมถึง AIS PLAY) มีรายละเอียดที่ผมรู้สึกว่าน่าสนใจออกมา
ไม่ใช่การปรากฏตัวของ โอปอล-สุชาตา ช่วงศรี นางงามโลกหรือ ‘มิสเวิลด์’ คนแรกของไทยที่มาโชว์ตัวพร้อมบทเพลง Diamond ของ Rihanna ที่สะกดสายตาของคนทั้งงาน และไม่ใช่การถามตอบของ 3 นักฟุตบอลระดับตำนานของพรีเมียร์ลีก อย่าง เดวิด เจมส์, ไรอัน กิ๊กส์ และโรแบร์ (โฮแบร์ ตามการออกเสียงของเจ้าตัว) ปิแรส
แต่เป็นการเปิดเผยรายละเอียดในการเจรจาเล็กๆ น้อยๆ จาก ดร.โสรัชย์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ที่เล่าถึงขั้นตอนกระบวนการเจรจา
ว่าทางด้านพรีเมียร์ลีกเป็นฝ่าย ‘เข้าหา’ (Approach) ทาง JAS นัยว่าเพื่อชักชวนให้ร่วมประมูลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกรอบใหม่ (New cycle) ในประเทศไทย เมื่อช่วงปีที่แล้ว
ท่าทีของพรีเมียร์ลีกเช่นนี้ผมมองว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจครับ ถือเป็นกระบวนท่ามาตรฐานที่จะพยายามหา ‘คู่แข่ง’ มาแย่งลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลของตัวเอง ซึ่งสิ่งที่วงการธุรกิจกีฬาตั้งข้อสังเกตคือมูลค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกนั้นดูเหมือนใกล้จะถึง ‘ทางตัน’ แล้ว
ในหลายตลาดมูลค่าการถ่ายทอดสดไม่ได้เพิ่มขึ้น หลายตลาดมีการผูกขาดโดยผู้ให้บริการรายใหญ่ ซึ่งประเทศไทยเองก็เป็นลักษณะแบบนั้น เมื่อผู้ชนะการประมูลลิขสิทธิ์ใน 2 รอบหลังสุดคือ ‘ทรูวิชั่นส์’
เพื่อให้มูลค่าในการประมูลไม่ต่ำจนเกินไป พรีเมียร์ลีกจึงหาผู้ที่จะมาร่วมประมูลด้วย และถ้าภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่า ‘แทงหวยถูก’ พอดีเมื่อพวกเขาสนใจ JAS
ในเวลาที่ JAS มีศักยภาพ มีความพร้อม และที่สำคัญ – ตามปากคำของพี่น้อยที่เคยให้สัมภาษณ์ในหลายรายการสื่อ – คือ ‘มีเงิน’ พอดี
กอปรกับการที่ ดร.โสรัชย์ มีความคลั่งไคล้ในกีฬาฟุตบอล เรียกว่าถ้าถอดหมวกผู้บริหารออกพี่น้อยก็คือ The Kop ตัวยงคนหนึ่งที่ติดตามทีมแบบไม่เคยห่างจากสายตา (ผมเชื่อว่าในระหว่างวันนี้แกน่าจะตื่นเต้นกับข่าวลือเรื่องการล่าตัว อเล็กซานเดอร์ อิซัค ของลิเวอร์พูล) ทุกอย่างเลยประจวบเหมาะกันไปหมด
คนรักฟุตบอลอังกฤษ กับโอกาสในการได้ลิขสิทธิ์ฟุตบอลอังกฤษมาครอบครอง
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาในการเจรจานั้นไม่ต่างอะไรจากบทเพลงพิเศษที่แต่งขึ้นสำหรับวาระนี้อย่าง One Shot (ที่ขับร้องโดย ตูน บอดี้สแลม และ F.HERO) คือขอโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในเกม
พี่น้อยและทีมงาน JAS ยิงไม่พลาด พวกเขาได้ลิขสิทธิ์มาครอบครองจริงๆ และไม่ได้เป็นการครอบครองเพียงแค่พรีเมียร์ลีก เพราะได้ฟุตบอลรายการใหญ่ซึ่งปกติถูกขายแยกอย่างฟุตบอลเอฟเอคัพพ่วงมาด้วย
โดยไม่ได้แค่ 3 ปีหรือรอบการประมูลเดียว แต่เป็น 6 ปีหรือ 2 รอบการประมูล
พรีเมียร์ลีกยิ้มเพราะได้การันตีเงินค่าลิขสิทธิ์ในราคาที่พอใจ รับได้ ขณะที่ JAS ก็ลบคำสบประมาท (จากเรื่องการประมูลคลื่นสัญญาณ 5G) ด้วยการคว้าลิขสิทธิ์มาครองได้จริงๆ
และเป็นลิขสิทธิ์กีฬาที่ดีที่สุดในโลก ในระดับ The King of Content ด้วย
สิ่งที่เหลือคือพวกเขาจะทำอย่างไรกับมันต่อไป?
นับจากช่วงเดือนพฤศจิกายนที่มีการประกาศข่าวเรื่องการคว้าลิขสิทธิ์นี้ออกมา จนถึงเมื่อวานที่ MONO STUDIO เป็นช่วงเวลาราว 7 เดือนที่ JAS ต้องไปจัดกระบวนทัพของตัวเอง
กระบวนทัพนั้นประเมินด้วยสายตาและความรู้สึกถือว่าใช้ได้ ดูไม่ขี้เหร่เลยครับ
โดยกองทัพหลักคือ MONOMAX ที่จะเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับพรีเมียร์ลีก โดยจุดเด่นคือการเป็นสตรีมมิงสัญชาติไทย ซึ่งแตกต่างจากช่วงที่ทรูถือลิขสิทธิ์ที่มีการออกอากาศ 2 ระบบคือ Cable TV ผ่านทรูวิชั่นส์ และออนไลน์ผ่าน TrueID และในฤดูกาลส่งท้ายที่เพิ่ม True Visions Now (เข้ามาสร้างความสับสนให้ผู้ใช้…)
เรื่องนี้ถือเป็นการเปิดยุคใหม่ของพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว ปิดฉากธุรกิจทีวี ‘ยุคที่ 2’ อย่าง Cable TV ผันไปสู่การให้บริการใน ‘ยุคที่ 3’ อย่าง Over-the-top (OTT) แทน
เทรนด์นี้เป็นเทรนด์ที่มาแรงอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหากจำกันได้คือการที่แพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลกอย่าง Netflix คว้าลิขสิทธิ์มวยปล้ำ WWE ไปครองถึง 10 ปีเต็ม และเริ่มมีการถ่ายทอดสดกีฬามากขึ้นเรื่อยๆ เช่น NFL ในช่วงวันคริสต์มาส
ต่อมาคือพันธมิตร ‘เพื่อนแท้’ อย่าง AIS ที่เกื้อกูลกันมาตลอดมาช่วยประกอบภาพให้สมบูรณ์ขึ้นด้วย AIS PLAY โดยที่ไม่ว่า AIS จะลงทุนกับเรื่องนี้เท่าไรก็ตาม การได้พรีเมียร์ลีกมาออนบน AIS PLAY ด้วยถูกมองว่าเป็น Game Changer ของวงการสื่อโทรทัศน์ได้เลยทีเดียว
และองค์ประกอบสุดท้ายคืออินเทอร์เน็ตอย่าง 3BB และ AIS Fiber ที่ทำให้ทุกอย่าง ‘ครบลูป’
ภาพใหญ่ถือว่าต่อจิ๊กซอว์กันได้ครบ
ที่เหลือคือภาพย่อยที่จะเป็นรายละเอียดที่เล็กน้อยแต่สำคัญ เช่น UX และ UI ของแอปพลิเคชัน โดยเฉพาะ MONOMAX ที่จะต้องเจอกับบททดสอบที่หนักหน่วงอย่างแน่นอนในการรับมือกับมวลมหาประชาแฟนบอลผู้มีขีดความอดทนอดกลั้นไม่สูงมาก และพร้อมระเบิดลงทันทีหากมีข้อผิดพลาดของระบบ เช่น ล่มในเกม ‘แดงเดือด’ หากเกิดขึ้นวันนั้นคือวันโลกาวินาศอย่างแท้จริง
หรือเรื่องของ Content แวดล้อมที่นอกจากพรีเมียร์ลีกจะมี Content ซึ่งผลิตด้วยพวกเขาเองแล้วในนาม Premier League Studio (หลายชิ้นดีมากแต่คนไม่ค่อยรู้หรือไม่ค่อยได้ดูกัน และเข้าถึงยากเพราะไม่ใช่ทุกชิ้นจะมีบรรยายหรือพากย์ไทย) ก็น่าจับตามองว่า Content ในแบบ OG โดย MONOMAX จะออกมาเป็นอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นรายการฟุตบอลวิเคราะห์ก่อนและหลังเกม (ได้ข่าวว่าความฝันคือการมี Match of the Day แบบของไทย)
ไปจนถึงผู้บรรยายไทย ที่บอกเลยว่าสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำตลาดในไทย ผู้บรรยายจำเป็นต้องมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์สูงพอที่จะทำหน้าที่นี้ ซึ่งขออนุญาตแนะนำว่าควรสกรีนกันอย่างเข้มข้น และไม่ควรบรรยายแบบเอามันอย่างเดียว
อย่างไรก็ดีตรงนี้ต้องให้เวลาและให้โอกาสกัน
ไม่ต่างอะไรจากนักฟุตบอลเวลาย้ายทีม การเปลี่ยนทีมงานที่ทำงานเหล่านี้ก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัวบ้าง เพียงแต่ผมเชื่อและหวังว่าสุดท้ายทุกอย่างจะออกมาด้วยดี
เพราะ ‘เท่าที่ได้ยินมา’ คนที่จะมาทำหน้าที่บนหน้าจอหรือบรรยายนั้นเป็นคนดีมีคุณภาพทั้งสิ้น
ความท้าทายที่สุดสำหรับเรื่องนี้ในความรู้สึกส่วนตัวกลับเป็นเรื่องของ ‘คู่แข่งที่แท้จริง’ ของ JAS ซึ่งไม่ใช่บริษัทคู่แข่งหรือใคร
แต่เป็น ‘ผู้ชม’ จำนวนมากมายมหาศาลในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน และแต่ละปี
ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ (Piracy) สูงชาติหนึ่งของโลก ซึ่งขัดแย้งกับความจริงว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกได้ถูกที่สุดในโลกแล้ว
พฤติกรรมของแฟนฟุตบอลจำนวนมากคือการชมผ่านช่องทางผิดกฎหมาย ซึ่งหลายคนพยายามเรียกขำๆว่า ‘ช่องทางธรรมชาติ’ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันเป็น ‘ช่องทางผิดธรรมชาติ’
หลายคนคิดว่าก็แค่ดูฟุตบอลออนไลน์นัดสองนัด กดดูแค่นี้จะเป็นอะไรไป เงินก็แค่ไม่กี่บาทหรอก บริษัทพวกนี้รวยจะตายไม่เจ๊งง่ายๆ หรอก
แต่ในความเป็นจริงแล้วการละเมิดลิขสิทธิ์ (Piracy) นั้นสร้างปัญหาให้แก่วงการฟุตบอลทั้งระบบอย่างร้ายกาจ เรียกว่าพังกันทั้ง Ecosystem เลยทีเดียว
เพราะฟุตบอลเถื่อนนั้นแย่งผู้ชม (Eyeball) ไปจากเจ้าของลิขสิทธิ์ที่ลำบากตรากตรำไปเจรจา หาเงิน คิดสูตรมากมายทางการตลาดเพื่อจะซื้อใจทุกคน โดยคนทำลิงก์เถื่อนไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าแค่การก๊อปลิงก์มาวางบน Tools
ผู้ชมที่หายไปจากระบบที่ถูกต้องจำนวนมหาศาลนั้นมีผลมากนะครับ ไม่ใช่แค่เรื่องของค่าสมาชิก (Subscription) แต่เป็นเรื่องของโฆษณาจากสปอนเซอร์ที่จะลังเลไม่กล้ากระโจนเข้ามาร่วมวงด้วย ไปจนถึงกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ ที่จะทำให้ทุกคนได้สนุกไปกับประสบการณ์ฟุตบอลดีๆ ที่ควรจะมีกัน
เหมือนเช่นในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหม่ พรีเมียร์ลีกมีการจัด Football Festival ที่ไม่ได้แค่ชวนคนมานั่งดูฟุตบอลด้วยกัน แต่มาทำกิจกรรมร่วมสนุกกัน ไปจนถึงได้พบเจอกับตำนานนักเตะที่เคยได้เห็นทางโทรทัศน์
บรรยากาศมันก็สนุก สดใส ดีต่อใจไปเสียหมด
การประกาศตั้งราคา 199 บาทสำหรับลูกค้า AIS (และ 299 บาทสำหรับลูกค้าทั่วไป) จึงถือเป็นการ ‘วัดใจ’ กับคนไทย
199 บาทนั้นในยุคปัจจุบันทำอะไรไม่ได้มากนัก กินข้าวอาจจะได้ 2-3 จาน หรือแค่จานเดียวหากไปนั่งกินในห้างหรือร้านดีๆ
199 บาทอาจจะได้กาแฟร้านดีๆ สัก 2 แก้ว หรืออาจจะแก้วเดียวสำหรับเมล็ดกาแฟพันธุ์ดีจากต่างประเทศที่คั่วมาอย่างประณีต
199 บาทอาจจะดูหนังได้เรื่องนึง
ตอนนี้คนซื้อลิขสิทธิ์ขอแลกเงิน 199 บาทนี้กับความสุขตลอดทั้งเดือนของทุกคนด้วยฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลก เจ้าของสมญา The Greatest Show on Earth
จากการประเมินแล้ว จุดที่พอจะ ‘ชื่นใจ’ สำหรับเจ้าของลิขสิทธิ์ใหม่อยู่ที่ลูกค้าจำนวน 2 ล้านคน ซึ่งแม้ว่าฐานลูกค้าของ MONOMAX รวมถึง AIS (ที่ประกาศว่ามีฐานลูกค้าเดิมถึง 50 ล้านคน) จะมีจำนวนไม่น้อย แต่ก็ถือเป็นความท้าทายและการวัดใจกัน
โดยที่ล่าสุด ‘ม้าด่วน’ ส่งข่าวมาบอกว่า AIS ประกาศ ‘ไม้เด็ด’ ของตัวเองบ้าง โดยเฉพาะ 2 ท่าไม้ตายใหญ่อย่างแพ็กเกจ AIS PLAY ULTIMATE ในสนนราคา 1,499 บาท/เดือน โดยที่นอกจากจะได้ชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ยังพ่วงบริการสตรีมมิงแพลตฟอร์มอื่นๆ ด้วยอย่าง Netflix, Disney+, HBO Max, Prime Video, IQIYI, VIU, WeTV และ NBA Prime Video
เข้าทำนองจ่าย ‘หนเดียวจบ’ ไม่ต้องจ่ายจุกจิกวุ่นวายอีก
และสำหรับลูกค้าที่สนใจอยากจะ ‘ย้ายค่าย’ (มันก็เหลือ 2 ค่ายแค่นั้นแหละนะ…) จะได้สิทธิ์ชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ‘ฟรีตลอดทั้งฤดูกาล’ (แต่แนะนำอ่านเงื่อนไขกันให้ละเอียด)
ในเชิงของภาพรวมธุรกิจแล้ว นี่ไม่ต่างอะไรจากการประกาศ ‘สงครามสตรีมด่วน’ ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง โดยมีฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนปรากฏการณ์ครั้งนี้
ส่วนมันจะนำพาพวกเราไปจุดไหนกันนั้น
เกมเพิ่งจะเริ่ม เวลายังเหลืออีก 90 นาทีเต็ม ติดตามกันให้ดีครับ!