คำโบราณท่านว่า ฟ้าไม่เคยผ่าซ้ำลงที่เดิม ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้
หลังจากที่สูญเสีย เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ไปในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จากการถูก จอร์แดน พิกฟอร์ด นายทวารเอฟเวอร์ตันคู่ปรับร่วมเมืองเข้าปะทะอย่างหนักจนเอ็นหัวเข่าฉีกขาดเสียหาย ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยประเมินกันว่า กว่าจะได้เห็นหน้าค่าตากันอีกครั้ง ก็อาจจะต้องรอจนถึงฤดูกาลหน้า และต่อด้วยการเสียฟาบินโญ กองกลางตัวรับที่ต้องแบกรับภาระในแดนหลังจากการเจ็บกล้ามเนื้อด้านหลังโคนขา ยังตามมาด้วยการเสีย เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาตัวจริงที่เจ็บไปในเกมล่าสุดกับอาการกล้ามเนื้อน่อง
ล่าสุดจู่ๆ โจ โกเมซ ปราการหลังที่เป็นเสาหลักแบกทีมมาตลอดตั้งแต่ฟาน ไดจ์ค บาดเจ็บก็ล้มหมอนนอนเสื่อไปอีกคน และไม่ใช่การบาดเจ็บธรรมดา เพราะตามการเปิดเผยของสโมสรลิเวอร์พูลเป็นการผ่าตัด ‘เอ็น’ ในหัวเข่า ซึ่งแม้จะไม่ใช่เส้นเอ็นไขว้อย่างที่กลัวกัน แต่ความรุนแรงนั้นแทบไม่ได้แตกต่างกัน
สิ่งที่น่ากังวลคือการบาดเจ็บของกองหลังวัย 23 ปีรายนี้เกิดขึ้นเอง โดยไม่ได้มีผู้เล่นคนใดปะทะหรืออยู่ใกล้ตามการเปิดเผยของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ซึ่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเองก็เป็นกังวลกับการบาดเจ็บนี้ไม่น้อย
“จากข้อเท็จจริงที่ไม่มีผู้เล่นคนไหนอยู่ใกล้เขาเลยตอนที่เขาเกิดบาดเจ็บ ซึ่งผมไม่ชอบในจุดนี้” เซาธ์เกตกล่าว
คนที่ออกมาขยายความถึงอาการบาดเจ็บของโกเมซเพิ่มเติมคือ นิค โปป ผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษที่เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “โจกำลังผ่านบอลหรือเคลื่อนที่โดยที่ไม่มีใครใกล้เขาเลย จากนั้นเขาก็ล้มลงไปนอนที่พื้น และดูเหมือนจะเจ็บมาก
“การเห็นโจต้องเจออะไรแบบนี้ และเห็นความเจ็บปวดของเขาแล้วมันไม่ง่ายเลย สำหรับผมหรือเพื่อนคนไหน”
เช่นกันกับที่มันไม่ง่ายสำหรับลิเวอร์พูล เจอร์เกน คล็อปป์ รวมถึงเดอะ ค็อปทั่วโลกที่ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดีต่อเรื่องนี้
โจ โกเมซ เจ็บแบบไม่มีกำหนด และอาจปิดเทอมตามเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ไปอีกคน
ระยะเวลาในการรักษาตัว
คำถามที่แฟนลิเวอร์พูลอยากรู้และเป็นกังวลคือ โกเมซจะต้องพักการเล่นนานแค่ไหน
ยึดตามคำแถลงของสโมสรเอง ลิเวอร์พูลบอกว่า “ไม่มีกำหนดกรอบระยะเวลาในการกลับมาของเขา แต่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ที่เขาจะพลาดการเล่นส่วนใหญ่ในช่วงฤดูกาล 2020-21 ที่เหลือ”
ฟังแบบนี้ดูเหมือนจะมีความหวัง แต่การจะกลับมาภายในนัดสุดท้ายของฤดูกาลนี้ ซึ่งจะปิดฉากในวันที่ 23 พฤษภาคมปีหน้า นั่นหมายถึงเขามีระยะเวลาแค่ 6 เดือนในการกลับมา
ประเมินเบื้องต้นในกระบวนการรักษา ซึ่งตอนนี้โกเมซต้องผ่าตัดใส่เหล็กยึดเข่าไว้ เพื่อรอให้เอ็นกับกระดูกสมานกันเองตามธรรมชาติ นับจากวันแรกที่ทำการผ่าตัดรักษาไป คาดว่าจะใช้เวลากว่าที่ขาของเขาจะเริ่มขยับเคลื่อนที่ได้อีกครั้งราว 8-12 สัปดาห์ หรือ 2-3 เดือน
อีก 3 เดือนสำหรับการเรียกสภาพความฟิตก็เหมือนจะพอเป็นไปได้
แต่ในชีวิตจริงแล้วมันไม่ง่ายแบบนั้น ยกตัวอย่างของ เฟรเซอร์ ฟอร์สเตอร์ ซึ่งบาดเจ็บในอาการเดียวกันเมื่อปี 2015 โดยนายประตูที่เล่นให้เซาแธมป์ตันในเวลานั้นไม่ได้ปะทะกับใคร เพียงแค่พยายามจะเตะเคลียร์บอล ต้องใช้ระยะเวลาถึง 10 เดือนในการรักษาตัว
“ช่วง 2-3 เดือนแรกเป็นแค่การทดสอบ ที่เหลือเราทำได้แค่ปล่อยให้ธรรมชาติทำหน้าที่ของมันในการรักษาตัวเอง” ฟอร์สเตอร์กล่าวถึงอาการบาดเจ็บของตัวเอง
อีกคนที่เจ็บแบบเดียวกัน แต่มาจากเหตุการณ์คนละรูปแบบคือ ร็อบบี้ เบรดี้ ของเบิร์นลีย์ ที่บาดเจ็บในเดือนธันวาคม 2017 จากการปะทะกับ แฮร์รี แม็กไกวร์ ซึ่งขณะนั้นยังเล่นให้กับเลสเตอร์ ซิตี้
เบรดี้ก็เคยคิดว่าจะใช้เวลาแค่ 6 เดือนในการรักษาตัว แต่แพทย์ผู้ผ่าตัดบอกว่าจะใช้เวลา 6-9 เดือน และไม่ได้แปลว่าจะหายดี เพราะกว่าจะหายดีจริงๆ ต้องใช้เวลาอีกราว 12-18 เดือน และมีโอกาสที่จะเกิดอาการบาดเจ็บแทรกได้เสมอ
ดังนั้น อาจจะปัดเศษให้โกเมซปิดฉากฤดูกาลตามฟาน ไดจ์คไปอีกคน ก็อาจจะเป็นความคิดที่ดีกว่า
แนท ฟิลลิปส์ จะได้รับโอกาสมากขึ้นในช่วงหลังจากนี้
ทางเลือกที่เหลือในทีม
การสูญเสียเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวจริง 2 รายพร้อมกันที่แทบต้องปิดฉากฤดูกาล (ถ้าจะให้ยอมรับความจริง) ภายในระยะเวลาห่างกันไม่ถึงเดือน โดยที่ฤดูกาลนี้ยังเหลืออีกถึง 6 เดือน ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับทีมใดมาก่อน
เรื่องนี้กลายเป็นความท้าทายที่ยากลำบากที่สุดสำหรับคล็อปป์และทีมงาน
เขาจะหาทางประคับประคองลิเวอร์พูลอย่างไรในระหว่างนี้ไปจนจบฤดูกาล หรืออย่างน้อยในอีก 11 นัดที่เหลือก่อนที่ตลาดการซื้อขายผู้เล่นจะเปิดขึ้นอีกครั้งในเดือนมกราคม
ทางเลือกแรกที่ง่ายที่สุดสำหรับคล็อปป์คือ การใช้นักเตะที่เหลืออยู่ในทีม แต่ปัญหาคือนักเตะที่เหลืออยู่นั้นไม่มีใครที่สามารถจะฝากผีฝากไข้ได้เลยแม้แต่คนเดียว
โจเอล มาทิป ปราการหลังชาวแคเมอรูนเป็นกองหลังตัวหลักคนเดียวที่เหลืออยู่ในทีม เพียงแต่กองหลังชาวแคเมอรูนมีปัญหาในเรื่องของสภาพร่างกายที่ค่อนข้างเปราะบาง ซึ่งคล็อปป์เองก็เคยยอมรับว่ากองหลังวัย 29 ปีรายนี้ไม่สามารถลงสนามอย่างต่อเนื่องได้
พูดง่ายๆ คือมาทิปจำเป็นจะต้องพักการเล่นทุกหนึ่งนัดเพื่อไม่ให้ร่างกายเข้าข่าย ‘เรดโซน’ ที่เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บสูง ซึ่งในฤดูกาลนี้ก็เห็นได้ชัดว่ามีปัญหาอาการบาดเจ็บรังควานตลอดเวลา และเพิ่งจะกลับมาได้ในเกมนัดล่าสุดเท่านั้น
ทรงนี้ไม่ใช่คนที่ทีมจะฝากผีฝากไข้ได้แน่นอน ยกเว้นจะทำให้สภาพร่างกายแข็งแกร่งขึ้นได้
ตัวเลือกต่อมาคือฟาบินโญ กองกลางฮาร์ดแมนที่เสียสละมาเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟได้ดีมาตั้งแต่ในฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งแม้อาจจะมีปัญหาบ้างยามต้องเจอกองหน้าที่แข็งแกร่งหรือมีความเร็วสูง แต่ในภาพรวมแล้วดาวเตะบราซิลเลียนทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
ปัญหาคือการบาดเจ็บล่าสุดที่กล้ามเนื้อ แปลว่าฟาบินโญเองก็เป็นนักเตะในกลุ่มเสี่ยงที่จะบาดเจ็บตลอดเหมือนกัน
ถัดมาคือ รีส วิลเลียมส์ ไอ้หนูดาวรุ่งวัย 19 ปี ซึ่งโชคชะตานำพาอย่างยิ่ง เพราะเดิมไม่อยู่ในแผนการทำทีมมาก่อน แต่ได้โอกาสในการเล่นฤดูกาลนี้ เพราะ บิลลี คูเมติโอ กองหลังดาวรุ่งที่ทำผลงานโดดเด่นช่วงพรีซีซันเกิดบาดเจ็บในช่วงต้นฤดูกาล
วิลเลียมส์ทำผลงานได้น่าประทับใจทุกนัดที่ลงสนาม ไม่ว่าจะเป็นเกมลีกคัพ หรือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่ด้วยวัย ฝีเท้า และประสบการณ์แล้ว กระดูกของเขาบางเกินกว่าจะแบกรับงานมหาหินไหว
นอกเหนือจากวิลเลียมส์แล้วคือ แนท ฟิลลิปส์ กองหลังที่ไม่มีอนาคตในทีมไปแล้วด้วยซ้ำ เมื่อไม่อยู่ในแผนการทำทีมของคล็อปป์ในฤดูกาลนี้ ไม่มีชื่อส่งเล่นรายการแชมเปียนส์ลีก และเตรียมจะถูกขายทิ้งแต่หาทีมซื้อไม่ได้ ก่อนได้โอกาสลงเล่นด้วยความจำเป็นในเกมกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และดันเล่นได้อย่างสุดยอดถึงขั้นได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเกม
แต่ฟิลลิปส์มีจุดอ่อนในเรื่องของระดับฝีเท้าที่น่ากังขา ความเร็วที่เป็นปัญหา ซึ่งในบางนัดอาจชดเชยได้ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ แต่ในบางครั้งพลังใจอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ดีเขาและวิลเลียมส์จำเป็นจะต้องขึ้นมาช่วยแบกทีม อย่างน้อยในระหว่างนี้ไปจนถึงช่วงตลาดเปิดในเดือนมกราคม โดยมีความเป็นไปได้ที่จะต้องลงสลับกันคู่กับมาทิปและฟาบินโญ ซึ่งจะเป็นคู่หลักของทีมในระหว่างนี้
โดยออปชันสำรองที่เหลือคือการขยับนักเตะคนอื่นลงมา เช่น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ทางบอลดี แข็งแกร่ง และเข้าใจเกมรับพอสมควร หรือ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายที่แม้จะรูปร่างเล็กแต่ก็พอจะเล่นเซ็นเตอร์ได้บ้างถ้าจำเป็นจริงๆ เพราะเล่นให้ทีมชาติสกอตแลนด์เหมือนกัน เพียงแต่เป็นระบบกองหลัง 3 คน ซึ่งต่างจากการยืนกองหลังคู่ 2 คนมาก
หลุดไปจากนี้คือกลุ่มดาวรุ่งอย่างคูเมติโอ ที่สร้างความฮือฮาในช่วงพรีซีซันด้วยรูปร่างสูงใหญ่ และลีลาการเล่นที่น่าสนใจ และเซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก ไอ้หนูดาวรุ่งที่ย้ายมาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ที่ชวนให้ฝันว่าจะเป็นฟาน ไดจ์คคนใหม่ในอนาคต
แน่นอนว่าหากนักเตะเหล่านี้ทดแทนได้บ้าง และคนอื่นๆ ในทีมพยายามช่วยกันเต็มที่จนทีมผ่านวิกฤตไปได้ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุด
คาลิดู คูลิบาลี เป็นตัวเลือกที่อาจจะดีที่สุดถ้าเป็นไปได้ในเวลานี้ อยู่ที่ลิเวอร์พูลพร้อมจ่าย หรือมีเงินจ่ายไหวหรือไม่
นักเตะใหม่คนไหนเหมาะ
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าหากถึงช่วงตลาดการซื้อขายเปิดแล้ว คล็อปป์และทีมงานอาจจำเป็นต้องขยับตัวไวในการหานักเตะเข้ามาเสริมทีม เพราะทีมไม่อาจเสี่ยงกับวิกฤตครั้งนี้ได้
เพียงแต่ก็เป็นคำถามอีกว่า จะเลือกแก้ปัญหาในระยะสั้น หรือระยะยาว
ถ้าคิดตามธรรมชาติของลิเวอร์พูลภายใต้การนำของ FSG ที่มี ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ เป็นมันสมองของสโมสรแล้ว มีโอกาสที่แชมป์พรีเมียร์ลีกจะเลือกวิธีการแก้ปัญหาในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น
เป้าหมายที่ลิเวอร์พูลเคยอยากได้มีชื่อของ เบน ไวต์ ปราการหลังของไบรท์ตันที่เป็นที่หมายปองของหลายสโมสรเช่นกัน เพียงแต่การเพิ่งต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปเมื่อต้นฤดูกาล อาจทำให้ค่าตัวเพิ่มขึ้นในระดับ 50 ล้านปอนด์ได้
อีกรายคือ โอซาน คาบัค กองหลังดาวรุ่งชาวตุรกีของชาลเก 04 เพียงแต่ผลงานของทีมในฤดูกาลนี้เลวร้ายเข้าขั้นสาหัส และน่าคิดว่าจะเป็นทางออกที่ดีจริงหรือสำหรับสถานการณ์นี้
และเพราะสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้มีรายงานข่าวว่า คล็อปป์อาจเปลี่ยนทิศทางจากการเน้นซื้อผู้เล่นที่มีอนาคตมาปั้นให้เป็นนักเตะลิเวอร์พูลในแบบของเขา มาเป็นการซื้อผู้เล่นที่สามารถยืนระยะเป็นตัวหลักของสโมสรได้เลย
หากคิดแบบนี้จะมีชื่อของนักเตะ 3 คนที่เข้าข่ายทันทีคือ คาลิดู คูลิบาลี เสาหลักหินของทีมนาโปลีที่เป็นหนึ่งในกองหลังที่แกร่งที่สุดในโลก และยังเป็นเพื่อนร่วมทีมชาติเซเนกัลที่ ซาดิโอ มาเน สนิทชิดเชื้อด้วย ซึ่งมีโอกาสที่จะย้ายทีมหากสามารถตกลงค่าตัวกันได้
อีกรายอายุน้อยกว่าคือ ดาโยต์ อูปาเมกาโน ของแอร์เบ ไลป์ซิก ที่มาแรงที่สุดในช่วงก่อนหน้านี้ (แม้จะเสียอาการบ้างหลังโดนแมนฯ ยูไนเต็ดถล่มในแชมเปียนส์ลีก) ซึ่งด้วยสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลิเวอร์พูลกับทีมบุนเดสลีกา ก็เป็นไปได้ที่อาจจะมีการเคลื่อนไหวในช่วงกลางฤดูกาล แต่เป็นไปได้ยากที่จะยอมให้ย้ายมาทันที
คนสุดท้ายที่น่าสนใจคือ ดาวิด อลาบา ตัวหลักของบาเยิร์น มิวนิก ซึ่งเตรียมจะเจรจาย้ายทีมได้หลังวันที่ 1 มกราคมปีหน้า เนื่องจากสัญญาจะหมดลงแค่จบฤดูกาลนี้
หากว่ากันด้วยฝีเท้าและประสบการณ์แล้ว อลาบาที่เพิ่งหันมาเอาดีทางการเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟสอบผ่านทุกข้อ ทั้งความเร็ว แข็งแกร่ง ทางบอลดี เล่นบอลกับพื้นได้ดี เปิดบอลแม่น เล่นลูกกลางอากาศเยี่ยม และด้วยเงื่อนไขการย้ายทีมลิเวอร์พูลได้เปรียบที่อาจซื้อได้ในราคาต่ำตามระยะเวลาในสัญญา
ปัญหาคือเขาไม่ใช่นักเตะที่คล็อปป์สนใจมาก่อน และมีอีกหลายทีมที่ให้ความสนใจมากกว่า
เช่นนั้นก็อาจมีความเป็นไปได้เช่นกันที่คล็อปป์อาจจะเลือกแก้ปัญหาระยะสั้นด้วยนักเตะกองหลังสักคนที่มีฝีเท้าและประสบการณ์ และเข้ากับสไตล์ได้ประมาณหนึ่ง
อาจจะเป็นการเซ็นสัญญายืมตัว หรือเซ็นสัญญาระยะสั้น เพื่อให้ทีมผ่านช่วงเวลาที่โหดร้ายในฤดูกาลนี้ไปได้ก่อน
ถึงจะขัดธรรมชาติ ขัดแนวทางที่ยึดถือมาอยู่บ้างก็ต้องเข้าใจ นาทีนี้เลือกอะไรไม่ค่อยได้แล้ว
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- theathletic.co.uk/2192679/2020/11/12/liverpool-joe-gomez-england/
- theathletic.co.uk/2194017/2020/11/12/joe-gomez-injury-liverpool-tactics/
- โจ โกเมซ เคยบาดเจ็บหนักมาแล้ว 3 ครั้ง นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล โดยการบาดเจ็บ 2 ครั้งนั้นเกิดขึ้นระหว่างการเข้าแคมป์ทีมชาติอังกฤษ ที่มี แกเร็ธ เซาธ์เกต เป็นคนคุมทีมทั้งสองครั้ง
- โดยครั้งแรกที่เจ็บเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2015 ในแคมป์ทีมชาติอังกฤษอายุต่ำกว่า 21 ปี โดยเกิดเข่าฉีก ส่วนอีกครั้งเจ็บข้อเท้าในเกมอังกฤษเอาชนะเนเธอร์แลนด์ 1-0 เมื่อเดือนมีนาคม 2018 ซึ่งหลังจากนั้นเจ็บซ้ำจนต้องผ่าตัด และพลาดเกมนัดชิงแชมเปียนส์ลีก 2018 รวมถึงพลาดฟุตบอลโลก 2018 ด้วย