หลายปีที่ผ่านมาจีนเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีของเอเชีย โดยเป็นที่ตั้งของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Tencent ไปจนถึง Alibaba แหล่งผลิต iPhone และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ และตอนนี้ก็กลายเป็นผู้เล่นอย่างจริงจังในตลาดยานยนต์ไฟฟ้า แต่ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกำลังเกิดขึ้น โดยอินเดียพยายามที่จะแย่งตำแหน่งมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีของเอเชียจากจีน
เศรษฐกิจของอินเดียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่จีนกำลังชะลอตัวลง
การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ต่อปีเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษภายหลังการปฏิรูปช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 ที่เริ่มเปิดระบบเศรษฐกิจ นี่คือสิ่งที่ทำให้จีนกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดเงินทุนต่างชาติและมีอิทธิพลมากขึ้นบนเวทีโลก แต่ระยะเวลาแห่งปาฏิหาริย์ของจีนตอนนี้กลายเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว วิกฤตการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของตะวันตกเกี่ยวกับการครอบงำห่วงโซ่อุปทานของจีน และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มีความละเอียดอ่อน กำลังท้าทายต่อระบบเศรษฐกิจจีนมากขึ้น
เศรษฐกิจของจีนกำลังชะลอตัวลง และประเทศตะวันตกมองว่าจีนเป็นคู่แข่งมากกว่าเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศอินเดียที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วกำลังแย่งชิงตำแหน่งตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของโลกรายต่อไป ตัวเลขทางเศรษฐกิจล่าสุดแสดงให้เห็นว่า การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอินเดียอยู่ที่ 8.4% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2023 และทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า ตัวเลข GDP ของอินเดียคาดว่าจะเติบโตที่ 6.1% ไปอย่างน้อยจนถึงปี 2028
ตลาดหุ้นของอินเดียกำลังเฟื่องฟู การลงทุนจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาอย่างล้นหลาม และรัฐบาลต่างๆ กำลังต่อแถวเพื่อลงนามข้อตกลงการค้ากับประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดีย
บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินอย่าง Boeing Inc. กำลังรับคำสั่งซื้อที่สูงเป็นประวัติการณ์, Apple Inc. กำลังขยายขนาดการผลิต iPhone ไปที่อินเดีย ขณะที่ซัพพลายเออร์หลายแห่งที่จีนกำลังย้ายการผลิตมาที่อินเดีย
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple เข้ามามีบทบาทในประเทศมากขึ้น อินเดียกำลังมองหาการส่งเสริมในด้านต่างๆ เช่น การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไฮเทคและเซมิคอนดักเตอร์ ตลอดจนการสนับสนุนด้านสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโต แม้ว่าจะยังเต็มไปด้วยความท้าทายก็ตาม
อย่างไรก็ตาม มุมมองทางเศรษฐกิจจะดูสดใส แต่นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมองว่า อินเดียมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังคงเล็กกว่าเศรษฐกิจจีนที่มีมูลค่า 17.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้อินเดียอาจต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อไล่ตามจีน
นอกจากนี้อินเดียยังคงต้องพัฒนาเรื่องระบบการศึกษาที่ไม่เท่าเทียม กฎเกณฑ์ที่เข้มงวด และการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ
อินเดียยังคงมีศักยภาพที่ยังไม่ได้ใช้อีกมาก
NVIDIA ยกย่องอินเดียว่าเป็น ‘มหาอำนาจด้านเทคโนโลยีระดับโลก’ สิ่งนี้อาจทำให้ใครหลายคนประหลาดใจ เนื่องจากประวัติศาสตร์ของประเทศมีความเชื่อเรื่องโชคลางและการเลือกปฏิบัติทางวรรณะ อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงมีศักยภาพที่ยังไม่ได้ใช้อีกมาก ซึ่งอาจพิสูจน์ให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของตนที่จะก้าวขึ้นเป็นเศรษฐกิจโลกอันดับ 3 ของโลก นำหน้าเยอรมนีและญี่ปุ่น
ปัจจุบันอินเดียมีฐานผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมีผู้คนที่เชื่อมต่อถึงกัน 881 ล้านคน แม้ว่าประชากรมากถึง 37% จะไม่มียังอินเทอร์เน็ตใช้ก็ตาม ซึ่งนี่หมายถึงโอกาสในการเติบโตและพัฒนาได้อีกมาก
ซีอีโอจากบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลายแห่งมีเชื้อสายอินเดีย และอินเดียยังเป็นจุดหมายปลายทางในการจ้างบุคคลภายนอกด้านไอทีที่มีศักยภาพ นอกจากนี้อินเดียยังเป็นประเทศที่ผลิตวิศวกรได้มากที่สุดในโลก โดยในช่วง 5 ถึง 6 ปีที่ผ่านมา คุณภาพของบุคลากรเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเปิดรับการเรียนรู้ออนไลน์และวัฒนธรรมการทำงานทางไกล
รัฐบาลตั้งเป้าจะเปลี่ยนอินเดียให้เป็นประเทศพัฒนาในทศวรรษข้างหน้า
อินเดียกำลังจะจัดการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่สุดในโลกในสัปดาห์หน้า และ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีสมัยปัจจุบัน คือตัวเต็งที่จะคว้าชัยชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ โมดีให้คำมั่นเมื่อปีที่แล้วว่า เขาจะยกระดับเศรษฐกิจของประเทศอินเดียไปสู่ตำแหน่งสูงสุดของโลก หากเขาชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 3 เขายังตั้งเป้าว่าจะทำให้อินเดีย ซึ่งปัจจุบันมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก แซงหน้าเยอรมนีและญี่ปุ่นภายในปี 2028 ทั้งยังมีเป้าหมายที่จะบรรลุสถานะประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2047 ซึ่งเป็นปีที่ 100 นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากการปกครองของอังกฤษ
การจัดสรรโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลอินเดียเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าจากเมื่อ 5 ปีที่แล้ว โมดีคาดว่าจะลงทุนอีก 143 ล้านล้านรูปี เพื่อปรับปรุงทางรถไฟ ถนน ท่าเรือ ทางน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอื่นๆ ในช่วง 6 ปีจนถึงปี 2030 ทางด้าน Bloomberg Economics วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโตมากถึง 9% ภายในสิ้นทศวรรษนี้ ในขณะที่จีนจะชะลอตัวลงเหลือ 3.5% จากมุมมองในแง่ดีที่สุด
สิ่งนี้จะทำให้อินเดียก้าวแซงหน้าจีนในฐานะผู้ขับเคลื่อนการเติบโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2028 แต่หากมองโลกในแง่ร้าย ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ IMF อินเดียอาจแซงหน้าจีนในปี 2037
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2024/04/05/how-india-is-challenging-china-as-asias-tech-powerhouse.html
- https://www.bloomberg.com/news/features/2024-04-07/can-india-overtake-china-as-world-s-growth-engine-it-could-happen-by-2028?leadSource=uverify%20wall