*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์*
“Lady Gaga ทำอะไรไม่ได้บ้างในวงการบันเทิง?” นี่คือคำถามที่เรามีเมื่อดูภาพยนตร์เรื่อง House Of Gucci จบ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ผู้หญิงที่ชื่อ Stefani Joanne Angelina Germanotta หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า Lady Gaga ยังขึ้นแสดงเพลงชาติอเมริกาอย่างสง่างามที่งานสาบานตนของ Joe Biden เพื่อเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ อยู่เลย แต่หนึ่งปีต่อมาในวันที่ 20 มกราคม 2022 ภาพยนตร์ที่เธอแสดงนำเป็นเพียงครั้งที่ 2 อย่าง House of Gucci ก็ได้ฤกษ์เข้าฉายที่ประเทศไทย พร้อมกับฉากที่เธอขอสาบานบ้างว่า “Father, Son and House of Gucci” ซึ่งกลายเป็นมีมสุดไวรัลทั่วโลกโซเชียลตั้งแต่ตัวอย่างภาพยนตร์ปล่อยออกมา โดยก็ต้องบอกว่านี่คืออีกหนึ่งผลงานที่ดีที่สุดของ Lady Gaga และเป็นการตอกย้ำว่าเธอสามารถเป็นได้ทั้งศิลปินที่ร้อง “P-p-p-poker face, p-p-poker face” อยู่วันหนึ่ง และอีกวันก็ขึ้นไปอยู่บนจอเงินกับ Al Pacino, Jeremy Irons, Adam Driver และ Jared Leto ได้แบบไม่จมหายไปในซีนและทรงพลังเป็นอย่างมาก
House of Gucci เป็นภาพยนตร์แนวเมโลดราม่าอาชญากรรม กำกับโดย Ridley Scott ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์สุดคลาสสิก Gladiator, Blade Runner และ The Martian ดัดแปลงมาจากหนังสือขายดี The House of Gucci: A Sensational Story of Murder, Madness, Glamour, and Greed เขียนโดย Sara Gay Forden และได้ Roberto Bentivegna มาเขียนบทภาพยนตร์ให้ โดยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงตั้งแต่ช่วงยุค 70 ภายในครอบครัว Gucci ที่มีการแย่งชิงบัลลังก์ในกิจการแบรนด์ Gucci ก่อนจะเกิดการลอบสังหารของ Maurizio Gucci (รับบทโดย Adam Driver) หลานชายผู้ก่อตั้ง Guccio Gucci ในปี 1995 ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังคืออดีตภรรยาของเขา Patrizia Reggiani (รับบทโดย Lady Gaga) ที่ต่อมาถูกจับและตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 18 ปี ก่อนจะถูกปล่อยออกมาเมื่อปี 2016
ความโดดเด่นของ House of Gucci ก็ต้องยกให้การแสดงของแต่ละนักแสดงที่สามารถตีบทแตกได้อย่างกระจุยกระจายและปรับจูนเคมีเพื่อเข้ากันอย่างลงตัว พร้อมการรับส่งกัน ซึ่งทำให้นึกว่าเล่นละครเวทีแบบเชกสเปียร์อยู่ตลอดเวลา เลยไม่น่าแปลกใจทำไมเรื่องนี้ได้เข้าชิงสาขานักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยมที่งาน SAG Awards โดยนอกเหนือจาก Lady Gaga และ Adam Driver แล้วก็มีนักแสดงระดับตำนาน Al Pacino ในบทของ Aldo Gucci, Jeremy Irons ในบทของ Rodolfo Gucci, Salma Hayek ในบท Pina Auriemma ซึ่งในชีวิตจริงสามีของเธอก็เป็นเจ้าของแบรนด์ Gucci ทุกวันนี้ และ Jared Leto ในบท Paolo Gucci ที่เชื่อว่าจะสร้างเสียงหัวเราะให้หลายคนในโรงและเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีสุดของเขาเช่นกัน
หากโฟกัสที่สองนักแสดงนำ หลายคนอาจรู้สึกว่าทำไมการแสดงของ Lady Gaga ดูเวอร์วังเล่นใหญ่เกินเบอร์ไปมาก ส่วน Adam Driver ก็ดูนิ่งเย็นชาไปเลย แต่ในความเป็นจริงแล้วหากไปทำรีเสิร์ชดูวิดีโอสัมภาษณ์ตัวจริงของ Patrizia และ Maurizio ก็จะเห็นได้ว่าทั้งคู่มีความสุดขั้วจริงๆ และทั้งสองนักแสดงนี้ก็ได้เล่นได้อย่างแยบยล พร้อมสร้างเส้นกราฟชีวิตของตัวละครที่เราได้เห็นชัดเจน ว่าพอมีเรื่องอำนาจและความโลภมาเกี่ยวข้องและครอบงำชีวิตของแต่ละคน อุปนิสัยและทัศนคติของพวกเขามันถูกเปลี่ยนแปลงมากน้อยขนาดไหน และสิ่งที่น่าชื่นชมเกี่ยวกับการแสดงของ Lady Gaga เข้าไปอีกก็คือถึงแม้คนอาจไปโฟกัสเรื่องการเป็นนางมารร้ายของเธอในเรื่อง แต่เราก็ยังชอบที่สามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นมนุษย์และความเปราะบางของตัวละคร Patrizia ที่มีความรักให้กับ Maurizio จนถึงนาทีสุดท้าย แม้เธอจะเป็นคนสั่งฆ่าสามีก็ตาม
แต่แม้การแสดงในเรื่อง House of Gucci จะถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างมาสเตอร์คลาสบนจอเงินที่คนจะจำได้ไปอีกนาน แต่การถ่ายทำ ตัดต่อ และร้อยเรียงเส้นเรื่องของ Ridley Scott ก็ถือว่าพบเจอปัญหาอยู่เยอะ และหลายอย่างดูสะเปะสะปะ โดยต้องเตือนก่อนว่าหลายซีนที่มีให้เห็นในตัวอย่างก็ไม่ได้ปรากฏในภาพยนตร์ และเราไม่รู้ว่าเพราะ Ridely Scott ไม่เคยกำกับภาพยนตร์แนวดราม่าแบบนี้มาก่อน เขาเลยดูเหมือนพยายามมากเกินไปจนดูไม่ธรรมชาติ อย่างเช่นตัว Art Direction และ Visual Palette ของภาพยนตร์ก็ดูกระโดดไปมา มีทั้งเล่นกับโทนสีขาวดำและโทนซีเปีย การเลือกเพลงปี 1987 อย่าง Faith ของ George Michael มาอยู่ในฉายแต่งงานเมื่อต้นยุค 70 หรือการนำเสนอตัวละคร Anna Wintour ในตอนช่วงท้ายของเรื่องก็เป็นการนำเสนอในเวอร์ชันของเธอ ณ ปัจจุบัน แทนที่จะอิงกับในยุคสมัย 90 ตามความเป็นจริง ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าการตัดสินใจเหล่านี้ของ Ridley Scott เกิดขึ้นเพราะอยากให้ House of Gucci มีความแมสและขายได้ไหม
สิ่งที่เรากลับคิดว่าจะทำให้ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จมากกว่านี้คือการไม่พยายามที่จะยัดทุกเหตุการณ์ตลอด 3 ทศวรรษของครอบครัวตระกูล Gucci ตั้งแต่ยุค 1970-1990 แต่กลับมีการโฟกัสที่ความสัมพันธ์ของ Patrizia และ Maurizio มากกว่านี้อีกเพื่อให้คนได้เข้าใจแก่นแท้ของสองคนนี้ ส่วนเรื่องของประวัติศาสตร์แบรนด์ Gucci เองก็ให้คนดูไปศึกษาอ่านหรือดูสารคดีอื่นๆ แทนก็ได้
แม้ภาพร่วมของ House of Gucci จะมีความโกลาหลทั้งตัวเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นและการนำเสนอตลอด 2 ชั่วโมง 38 นาที แต่เราก็ยังคิดว่าเรื่องนี้คุ้มค่าในการเสียเวลาไปดูในโรง มีความบันเทิงที่จัดจ้านสุดๆ และเผยให้เห็นว่าแม้วงการแฟชั่นก็เป็นวงการที่แฝงไปด้วยเรื่องมายา แต่ในขณะเดียวกันก็สอนให้รู้ว่าแต่ละแบรนด์ที่เราต่างคลั่งไคล้และต่อแถวหน้าร้านที่ห้างดังเหมือน Gucci ก็มีเรื่องราวเบื้องหลังที่ต้องผ่านอุปสรรคอะไรมามากมายกว่าจะกลายมายืนอยู่จุดนี้
ส่วนที่เราตื่นเต้นด้วย คือต่อจากนี้ Lady Gaga จะเลือกรับบทอะไรในฐานะนักแสดงนำเรื่องที่ 3 ของเธอ ซึ่งใครจะไปรู้ เธออาจเลือกเล่นเป็นตัวร้ายในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันของดิสนีย์ เล่นในภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ของ Marvel ที่กำลังมีกระแสข่าวลือ หรือเปลี่ยนมาเป็นแนวโรแมนติกคอเมดี้แบบกลิ่นอายยุค 90 ก็เป็นได้ แต่เธอจะเลือกเล่นอะไรก็แล้วแต่ ณ วันนี้เราก็พูดได้ว่าผู้หญิงคนนี้ได้ทำให้เห็นแล้วว่าเธอจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูดว่าทำได้ทุกอย่าง และได้ก้าวมาเทียบเท่ากับผู้หญิงอย่าง Cher, Judy Garland และ Barbra Streisand เป็นต้น
House of Gucci เริ่มฉายวันที่ 20 มกราคม ที่โรงภาพยนตร์เท่านั้น พร้อมรับชมตัวอย่างได้ที่นี่:
ภาพ: MGM