วันนี้ (22 กุมภาพันธ์) พล.ต.ท. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) เปิดเผยว่า ตำรวจภูธรภาค 2 ดำเนินการตาม 7 มาตรการเข้มปราบปรามต่างด้าวทำผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ ของ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีปฏิบัติการกวาดล้างกดดันขบวนการพาคนข้ามแดนเพื่อไปเป็นบัญชีม้า ทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านฝั่งชายแดนจังหวัดสระแก้ว จันทบุรี และตราด อย่างเข้มข้น ช่วยเหลือเหยื่อและจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนมาก
และขอเตือนผู้ประกอบการโรงแรมที่พักทุกรูปแบบ โดยเฉพาะโรงแรมเถื่อนที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายห้ามให้ที่พักพิงแก่บุคคลที่ครอบครองและใช้บัญชีเงินฝากของบุคคลอื่น (บัญชีม้า) แก๊งอาชญากรคอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งผู้ขับขี่ รถรับจ้าง ห้ามรับงานนำพาบัญชีม้า-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปส่งยังชายแดน เพราะเท่ากับให้การสนับสนุนช่วยเหลือขบวนการคอลเซ็นเตอร์เข้าข่ายผิดกฎหมายหลายข้อ มีโทษตามกฎหมายทั้งจำคุกและปรับ โดยมีคดีตัวอย่างที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับมากกว่า 5 ล้านบาท
พล.ต.ท. ยิ่งยศ กล่าวว่า ล่าสุดกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว สืบสวนพบเกสต์เฮาส์ในอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ให้ที่พักพิงแก่บัญชีม้า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงเข้าจับกุมดำเนินคดี เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งล่าสุดศาลจังหวัดสระแก้วตัดสินลงโทษเจ้าของโรงแรมเถื่อนในอำเภออรัญประเทศที่ให้ที่พักพิง ศาลพิพากษาลงโทษ เอ (นามสมมุติ) อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาในคดีโรงแรมเถื่อน ดังนี้ จำคุก 3 เดือน (รอลงอาญา 2 ปี) ปรับ 5,000 บาท และปรับเพิ่มวันละ 1,000 บาท ตั้งแต่วันฝ่าฝืนจนถึงวันฟ้อง (5,528 วัน) เป็นเงินรวม 5,528,000 บาท ยังต้องปรับอีกวันละ 1,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่
“ดำเนินคดีกับที่พักโรงแรมเกสต์เฮาส์ต่าง ๆ ที่ให้พักพิงบัญชีม้า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 2 คดี ดำเนินคดีกับผู้ขับรถรับจ้างนำพาบัญชีม้า 5 ราย เบื้องต้นฐานขับรถสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นบทเรียนราคาแพงให้กับผู้ประกอบการโรงแรมเถื่อน ให้ที่พัก ที่ซ่อนของอาชญากรที่ครอบครองใช้บัญชีเงินฝากของผู้อื่น (บัญชีม้า) แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เสี่ยงโทษหนัก หากเจ้าของโรงแรมที่รู้เห็นเป็นใจหรือเพิกเฉยให้ที่พักแก่บัญชีม้า อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย” พล.ต.ท. ยิ่งยศ กล่าว
พล.ต.ท. ยิ่งยศ กล่าวต่อว่า โรงแรม เกสต์เฮาส์ ที่ให้ที่พักพิงมิจฉาชีพออนไลน์ อาจเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ. 2547 มาตรา 15 ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบกิจการโรงแรม เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน มาตรา 59 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน มาตรา 35 ผู้จัดการต้องจัดให้มีการบันทึกรายการต่างๆ เกี่ยวกับผู้พักและจำนวนผู้พักในแต่ละห้อง ลงในบัตรทะเบียนผู้พัก มาตรา 56 ผู้จัดการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 35 ต้องระวางโทษปรับทางปกครองตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 7 ในความผิดฐานฟอกเงิน ผู้ใดสนับสนุนการกระทำผิด หรือช่วยเหลือผู้กระทำผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด จัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ยานพาหนะ สถานที่ เพื่อช่วยเหลือให้ผู้กระทำผิดหลบหนี หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำผิดถูกลงโทษ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการ มาตรา 60 ผู้ใดกระทำผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท มาตรา 61 นิติบุคคล กระทำผิดตามมาตรา 7 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 200,000-1,000,000 บาท
พล.ต.ท. ยิ่งยศ กล่าวว่า ขอเตือนผู้ประกอบการอย่าปล่อยให้โรงแรมหรือที่พักของคุณกลายเป็นแหล่งซ่อนตัวของอาชญากร เจ้าของกิจการต้องตรวจสอบผู้เข้าพัก ป้องกันไม่ให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือของขบวนการมิจฉาชีพ พบเห็นพฤติกรรมต้องสงสัยให้แจ้งตำรวจทันที ขออย่าทำมาหากินกับขบวนการเหล่านี้ที่สร้างความเดือดร้อนให้คนจำนวนมาก และย้ำว่าตำรวจภูธรภาค 2 ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเด็ดขาด จริงจัง ไม่ยอมให้ใช้พื้นที่จังหวัดชายแดนในความรับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 2 เป็นที่พัก เส้นทางผ่านของขบวนการมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนโดยเด็ดขาด
ทั้งนี้ หากผู้ใดมีข้อมูล เบาะแส สามารถแจ้งตำรวจภูธรภาค 2 ได้ทาง สายด่วน 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือทางเพจเฟซบุ๊กตำรวจภูธรภาค 2