หลังจากปล่อยให้แฟนเพลงคิดถึงเพราะหายหน้าหายตาไปเกือบ 2 ปีเต็มๆ นับตั้งแต่ปล่อยสตูดิโออัลบั้มชุดที่สอง Love Me / Love Me Not ซึ่งออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2018 ล่าสุดสองหนุ่มมากความสามารถ แอนดี้ คลัตเตอร์บัค และเจมส์ แฮตเชอร์ วงดูโออิเล็กทรอนิกส์ป๊อปจากลอนดอนก็ได้ปล่อยอัลบั้มมิกซ์เทปในชื่อ No Song Without You ออกมาให้ได้ฟังกันแล้ว ซึ่งเราบอกเลยว่าหากคุณเป็นแฟนตัวยงของ HONNE ก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
No Song Without You มิกซ์เทปความยาว 37 นาที อัดแน่นไปด้วยบทเพลงรักโรแมนติกที่โดดเด่นด้วยเมโลดี้อันเพราะพริ้ง ฟังง่าย และติดหู ตามสไตล์ถนัดของสองหนุ่มจำนวน 14 แทร็ก ซึ่งช่วยย้ำชัดถึงตัวตนและแสดงให้เห็นถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของ HONNE ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้พวกเขายังสร้างความแตกต่างจากงานชุดก่อนด้วยการเพิ่มมิติลูกเล่นทางดนตรีให้มากขึ้นกับซาวด์ดีไซน์ใหม่ๆ มีการนำเสียงของเครื่องดนตรีอย่างเปียโน กลองบองโก ไวโอลิน และมาร์ชชิงเบล มาผสมผสานกับซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ เสียงสังเคราะห์ และกีตาร์ได้อย่างกลมกล่อมลงตัว อีกทั้งยังมีการใส่แทร็ก Interlude คั่นระหว่างเพลงในอัลบั้มอีกด้วย
ตัวอัลบั้มเปิดด้วยไตเติลแทร็กชื่อ Dear P ความยาวหนึ่งนาที เพื่อเป็นการเกริ่นนำและพูดถึงธีมหรือภาพรวมเนื้อหาของอัลบั้มที่จะเน้นเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ของคนซึ่งมีองค์ประกอบมากมายรวมอยู่ในนั้น ทั้งความสุข ความเศร้า รอยยิ้ม น้ำตา อุปสรรค ฯลฯ ก่อนจะตามมาด้วย No Song Without You เพลงจังหวะเนิบนาบ ไม่ช้าไม่เร็ว ที่พูดถึงความสำคัญของการมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง ซึ่งเป็นเพลงแรกจากมิกซ์เทปชุดนี้ที่ทางวงปล่อยออกมา และปัจจุบันมียอดกดฟังรวมกันใน YouTube และ Spotify มากกว่า 5.8 ล้านครั้งแล้ว
Free Love, La La La That’s How It Goes และ Loving You Is So Easy เป็น 3 เพลงบรรยากาศสดใสที่มาพร้อมกับจังหวะชวนเต้น เป็นเพลงที่เราคิดว่าฟังง่ายมากที่สุดในอัลบั้ม และน่าจะติดหูคนฟังได้ตั้งแต่รอบแรกๆ ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าหากวันหนึ่งได้ดูคอนเสิร์ตของ HONNE แล้วพวกเขานำ 3 เพลงนี้มาเล่น เหล่าแฟนเพลงต้องสนุกสนานและเต้นกันไม่หยุดไม่หย่อนแน่นอน
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยคือแทร็ก Interlude ที่วงใช้คั่นหรือเชื่อมต่อเพลงในอัลบั้มได้อย่างเรียบเนียน เหมือนเป็นสิ่งที่ช่วยขับให้ประเด็นหรือเนื้อหาของอัลบั้มเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งมิกซ์เทปชุดนี้มีอยู่ 2 แทร็กด้วยกัน อันแรกคือ I Love You More Than I Can Say เพลงกลิ่นอายอาร์แอนด์บีที่แม้ระยะเวลาของเพลงจะสั้นไม่ถึงครึ่งนาที มีเนื้อร้องอยู่เพียง 3-4 ท่อน แต่ก็ไพเราะติดหูมากพอจะทำให้เรากดย้อนกลับมาฟังมันซ้ำๆ ได้แบบไม่มีเบื่อ ส่วนอีกแทร็กหนึ่งมีชื่อว่า Our Love Will Never Die เพลงที่มีแค่เสียงร้องอันนุ่มละมุนของแอนดี้คลอไปพร้อมกับเสียงเปียโนตลอด 57 วินาที ที่ระหว่างฟังอาจทำให้ใครหลายคนยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
Social Distancing บทเพลงที่เราคิดว่าหลายคนน่าจะอินตามได้ไม่ยาก เพราะสองหนุ่มแอนดี้และเจมส์ได้แรงบันดาลใจในการเขียนเพลงนี้จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ส่งผลกระทบทำให้ผู้คนต้องอยู่ห่างกัน ซึ่งมันเป็นความจริงอันแสนเจ็บปวดที่ยากจะยอมรับว่าเราไม่สามารถอยู่ใกล้กับคนที่รักได้
ต้องบอกว่า HONNE จัดเรียงลำดับเพลงในมิกซ์เทปชุดนี้ได้ดีจริงๆ เพราะหลังจาก Social Distancing จบลงไป Lines On Our Faces บทเพลงให้กำลังใจที่บอกกับเราว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน มีวันที่แย่ก็ต้องมีวันที่ดี ก็ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องราวกับว่าพวกเขากำลังปลอบประโลมจิตใจคนฟังทุกคนที่ขณะนี้กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความยากลำบากจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
นอกจากนี้แล้วยังมีเพลงเพราะๆ อีกหลายเพลงที่เราไม่ได้กล่าวถึงและควรค่าแก่การรับฟัง เช่น By My Side, One Way To Tokyo, Can’t Bear To Be Without You, Gone Gone Gone และ Smile More Smile More Smile More แทร็กปิดอัลบั้มที่เปรียบเสมือนจดหมายถึงคนรุ่นถัดไปซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยพลังงานด้านบวกและความรู้สึกอบอุ่น
โดยรวมต้องบอกว่าแม้ไม่ใช่สตูดิโออัลบั้มเต็ม แต่มิกซ์เทปชุดนี้ของ HONNE ก็ถือเป็นการกลับมาที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ ส่วนตัวเพลงก็ดีงามตามมาตรฐาน แต่ด้วยความเป็นมิกซ์เทป ซาวด์ก็จะมีความดิบนิดหน่อย ให้อารมณ์เหมือนเพื่อนทำเพลงให้ฟัง สิ่งสำคัญที่สุดคือวงแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่เพิ่มมากขึ้น และความพยายามในการทดลองหรือสรรหาสิ่งใหม่ๆ มาให้แก่แฟนเพลงของพวกเขา ซึ่งถือเป็นเรื่องดี และเชื่อว่าในอนาคตทั้งแอนดี้และเจมส์น่าจะมีอะไรมาสร้างความประทับใจให้กับพวกเราอีกเยอะแยะมากมายเลยทีเดียว
ฟังมิกซ์เทป No Song Without You ได้ที่
ภาพ: Warner Music
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
