ฮ่องกงเตรียมออกคำสั่งให้ผู้ติดเชื้อโควิดที่กักตัวอยู่บ้านสวมใส่กำไลติดตามแบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมนำระบบโค้ดสุขภาพของจีนมาใช้ ซึ่งถือเป็นมาตรการใหม่ล่าสุดสำหรับควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดในพื้นที่
ฮ่องกงจะเผยโฉมกำไลดังกล่าวในวันศุกร์นี้ (15 กรกฎาคม) โดยผู้ที่มีผลตรวจเชื้อโควิดเป็นบวกและกักตัวเองที่บ้านจะต้องสวมใส่กำไล เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อแอบเดินทางออกไปที่อื่นในช่วงที่ร่างกายยังสามารถแพร่เชื้อไวรัสสู่ผู้อื่นได้
โล เฉิง-เหมา (Lo Chung-Mau) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสุขภาพคนใหม่ของฮ่องกง ได้ประกาศคำสั่งดังกล่าววานนี้ (11 กรกฎาคม) พร้อมระบุว่า ผู้ใดที่ละเมิดคำสั่งกักตัวในฮ่องกงจะต้องโทษปรับสูงสุด 25,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (3,200 ดอลลาร์สหรัฐ) และจำคุกสูงสุด 6 เดือน
ส่วนระบบโค้ดสุขภาพของจีนที่ฮ่องกงเตรียมนำมาใช้นั้นจะติดตามความเคลื่อนไหวของประชาชนผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยหากมีประวัติใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อมาก่อน QR Code ในบัญชีผู้ใช้งานจะขึ้นเป็นสีเหลือง ส่วนผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อจะมี QR Code ขึ้นเป็นสีแดง แต่หากไม่มีการติดเชื้อหรือพ้นช่วงอันตรายแล้ว QR Code จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ซึ่งแปลว่าประชาชนคนดังกล่าวจะสามารถเดินทางไปยังพื้นที่สาธารณะได้
ทั้งนี้ ผู้ที่มีโค้ดสีแดงและสีเหลืองจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรงพยาบาล หรือสถานดูแลผู้สูงอายุ และไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่มีความเสี่ยงได้ รวมถึงห้ามถอดหน้ากากอนามัยด้วย ส่วนผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทั้งหมดจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสีเหลือง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้วิพากษ์วิจารณ์ระบบโค้ดสุขภาพของจีน เนื่องจากมองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว และกังวลว่าจีนจะใช้ข้อมูลที่เก็บมาได้ไปจำกัดเสรีภาพของประชาชน นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังกังวลว่า ระบบและกำไลดังกล่าวอาจทำให้ประชาชนไม่กล้ารายงานว่าตัวเองติดเชื้อ เพราะกลัวว่าจะถูกควบคุมชีวิตมากเกินไป ซึ่งการปกปิดอาการป่วยอาจซ้ำเติมให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม
แม้ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกจะหันมาใช้นโยบายอยู่ร่วมกับโควิด อีกทั้งอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้นยังทำให้โอกาสป่วยหนักหรือเสียชีวิตลดลงอย่างมาก แต่ฮ่องกงยังคงใช้มาตรการจำกัดการเดินทางอย่างเข้มงวด โดยบังคับให้ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศจะต้องกักตัวในโรงแรมเป็นเวลา 7 วัน ตามนโยบาย Zero-COVID หรือการกดยอดผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ของจีน
แฟ้มภาพ: Marc Fernandes / NurPhoto via Getty Images
อ้างอิง: