โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีนแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกง ซึ่งมีทั้งกระแสสนับสนุนและทัดทานจากกลุ่มคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกำลังจะเปิดให้บริการในวันที่ 23 กันยายนนี้ นั่นหมายความว่าหลังจากนี้ชาวฮ่องกงจะสามารถเดินทางไปท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง หรือติดต่อธุรกิจไกลถึงกรุงปักกิ่งได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น
ทางรถไฟความเร็วสูงส่วนต่อขยายในฮ่องกงซึ่งเรียกว่า Express Rail Link มาพร้อมสโลแกนว่า A bright future is with us today หรืออนาคตที่สดใสอยู่กับเราแล้ววันนี้ ใช้งบประมาณในการก่อสร้างกว่า 10,700 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะเชื่อมต่อเข้ากับโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงแห่งชาติของจีนที่มีขนาดใหญ่มหึมา รวมระยะทางทั้งสิ้น 25,000 กิโลเมตร ซึ่งหมายความว่าชาวฮ่องกงจะเดินทางไปเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศจีนได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาแต่เครื่องบินเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
สำหรับทางรถไฟส่วนต่อขยายที่จะเปิดให้บริการในวันที่ 23 กันยายนนี้นั้นดำเนินงานโดยบริษัท MTR ของฮ่องกง มีระยะทางทั้งสิ้น 26 กิโลเมตร เป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายระบบรางของเมืองกวางโจวและเซินเจิ้นในมณฑลกวางตุ้งของจีน
มิติใหม่แห่งการเดินทาง
ตามรายงานข่าวระบุว่ารถไฟหัวกระสุนขบวนสู่จีนแผ่นดินใหญ่ หรือที่เรียกว่า ‘ต้าลู่’ นั้นจะแล่นออกจากสถานีเกาลูนตะวันตก (West Kowloon Station) ที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน และจอดที่สถานีปลายทางหลักทั้งหมด 44 แห่ง โดยระยะทางไกลสุดจะใช้เวลา 9 ชั่วโมงจากสถานีเกาลูนตะวันตกสู่กรุงปักกิ่ง
คาดว่าเมื่อเริ่มเปิดให้บริการแล้ว รถไฟไฮสปีดจะแล่นเข้าสู่สถานีฮ่องกงเฉลี่ย 70 เที่ยวต่อวันในช่วงวันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี และเพิ่มเป็น 82 เที่ยวในวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์
ส่วนอัตราค่าโดยสารนั้น หากคนฮ่องกงต้องการไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนก็ต้องซื้อตั๋วในอัตราค่าโดยสารสูงสุดที่ 1,077 หยวนเพื่อไปลงที่ปักกิ่ง ซึ่งตกเป็นเงินไทยประมาณ 5,095 บาท
ลองคำนวณเทียบดู ถึงแม้จะใช้เวลาถึง 9 ชั่วโมงในการเดินทางไปเมืองหลวงของจีน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับค่าตั๋วเครื่องบินแล้วถือว่าถูกกว่ามาก ถ้าไม่นับสายการบินโลว์คอสต์ โดยอัตราค่าตั๋วโดยสารเที่ยวบินตรงจากฮ่องกงสู่กรุงปักกิ่งของสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค อยู่ที่ราคาเฉลี่ย 16,185 บาท แต่ถ้าอยากบินแบบประหยัดด้วยสายการบินต้นทุนต่ำก็ต้องจ่ายค่าตั๋วเฉลี่ย 4,855 บาท ซึ่งก็ต่างกันไม่มาก
เมื่อดูจากตรงนี้ ธุรกิจสายการบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างจีนกับฮ่องกงอาจได้รับผลกระทบไม่น้อย เพราะขั้นตอนการซื้อตั๋วรถไฟที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเท่าเครื่องบิน อีกทั้งไม่ต้องเดินทางไปสนามบินเพื่อเช็กอินล่วงหน้าเป็นเวลาหลายชั่วโมง รวมถึงไม่ต้องลุ้นว่าไฟลต์จะดีเลย์หรือไม่
นอกจากนี้รถไฟความเร็วสูงสายฮ่องกงยังเอาใจนักท่องเที่ยวโดยให้บริการสู่จุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยมในจีน ทั้งนครเซี่ยงไฮ้ กุ้ยหลิน และคุนหมิง นอกเหนือไปจากกรุงปักกิ่งแล้ว โดยจะใช้เวลาเดินทางเฉลี่ย 8 ชั่วโมง 15 นาทีไปเซี่ยงไฮ้, 3 ชั่วโมงครึ่งถึงกุ้ยหลินในเขตปกครองตนเองกว่างซี และ 7 ชั่วโมงครึ่งถึงคุนหมิงในมณฑลยูนนาน
แต่ใครที่คาดหวังให้รถไฟเร่งสปีดเต็มอัตราขณะวิ่งอยู่ในฮ่องกงคงต้องผิดหวังเล็กน้อย เพราะส่วนต่อขยายในฮ่องกงมีระยะทางสั้น ดังนั้นจึงจำกัดความเร็วไม่ให้เกิน 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งช้ากว่าอัตราความเร็วสูงสุดที่จีนให้บริการในแผ่นดินใหญ่ที่ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่วนการซื้อตั๋วก็สามารถจองล่วงหน้าได้อย่างน้อย 28 วัน หากซื้อที่ห้องหรือเครื่องจำหน่ายตั๋วโดยสารในสถานีรถไฟ แต่สามารถซื้อได้ล่วงหน้าถึง 30 วัน หากจองทางโทรศัพท์หรือในระบบออนไลน์
สำหรับด่านตรวจคนเข้าเมืองนั้นจะตั้งอยู่ในสถานีเกาลูนตะวันตกเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร โดยที่พวกเขาไม่ต้องถูกตรวจค้นเพิ่มเติมเมื่อเดินทางข้ามพรมแดนเข้าไปในจีนหรือออกจากฮ่องกงแล้ว แต่ผู้โดยสารชาวฮ่องกงต้องมีวีซ่าจีนหรือถือเอกสารเดินทางที่ยังไม่หมดอายุจึงจะสามารถเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงนี้ได้
มีข้อแนะนำสำหรับผู้โดยสารอีกประการก็คือควรเดินทางมาสถานีล่วงหน้าอย่างน้อย 45 นาที เพราะอย่าลืมว่าต้องผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองและจุดตรวจค้นเพื่อรักษาความปลอดภัยก่อน แต่ก็ยังน้อยกว่าการเดินทางไปสนามบินที่ควรไปถึงล่วงหน้าก่อนสัก 1-2 ชั่วโมง
เสียงต่อต้านจากคนไม่เห็นด้วย
แม้ชาวฮ่องกงจะเดินทางไปจีนได้สะดวกขึ้น แต่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นดีเห็นงามกับโครงการนี้
เพราะก่อนที่ฮ่องกงจะเปิดให้บริการทางรถไฟสายประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ มีกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวางทั่วเกาะฮ่องกง เพราะการเปิดใช้สถานีรถไฟเกาลูนตะวันตกย่อมหมายถึงการที่จีนแผ่นดินใหญ่สามารถขยายขอบเขตอำนาจตามกฎหมายเข้ามาในอาณาเขตของฮ่องกงได้เป็นครั้งแรก ถึงแม้ฮ่องกงจะเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีนก็ตาม แต่ที่ผ่านมาจีนอนุญาตให้ฮ่องกงยึดหลักหนึ่งประเทศสองระบบ โดยมีระบบโครงสร้างกฎหมายที่ต่างกับจีน อีกทั้งมีเสรีภาพในทางการเมืองมากกว่าในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
