เว็บไซต์ข่าวของหนังสือพิมพ์ The Washington Post ของสหรัฐฯ รายงานว่า ขณะนี้หลายบริษัทประกันภัยบ้านในสหรัฐฯ ต่างปรับเปลี่ยนโครงสร้างเงื่อนไขกรมธรรม์คุ้มครองบ้าน โดยส่วนใหญ่ต่างเริ่มไม่เสนอความคุ้มครองให้กับเจ้าบ้านในพื้นที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องการการประกันมากขึ้นเรื่อยๆ อีกต่อไป
รายงานระบุว่า จนถึงขณะนี้มีบริษัทประกันภัยรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างน้อย 5 ราย รวมถึง Allstate, American Family, Nationwide, Erie Insurance Group และ Berkshire Hathaway ได้แจ้งกับหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยว่า รูปแบบสภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้บริษัทตัดสินใจระงับการนำเสนอเงื่อนไขการคุ้มครองในบางภูมิภาค โดยตัดการคุ้มครองจากเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากสภาพอากาศต่างๆ ตลอดจนการเพิ่มเบี้ยประกันภัยและค่าลดหย่อนรายเดือน
ข้อมูลจากการสำรวจที่จัดทำโดยสมาคมกรรมาธิการประกันภัยแห่งชาติ (National Association of Insurance Commissioners) ซึ่งเป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ควบคุมอัตราและรูปแบบนโยบาย พบว่า บริษัทประกันรายใหญ่ทั้งหลายมีแผนจะตัดความเสียหายที่เกิดจากเฮอริเคน ลม และลูกเห็บ ออกจากกรมธรรม์ที่รับประกันทรัพย์สินตามแนวชายฝั่ง เช่นเดียวกับตัดความคุ้มครองอัคคีภัยในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อไฟป่า
ขณะเดียวกันผลสำรวจยังพบว่า บรรดาบริษัทผู้ให้บริการประกันภัยยังเต็มใจที่จะยกเลิกกรมธรรม์ที่มีอยู่ในบางพื้นที่ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติมากขึ้น โดยความคุ้มครองประกันบ้านส่วนใหญ่เป็นแบบรายปี ดังนั้นผู้ให้บริการจึงไม่มีภาระผูกพันกับความคุ้มครองเหล่านี้นานกว่าหนึ่งปี ซึ่งหมายความว่า บุคคลและครอบครัวในสถานที่ที่เคยถือว่าปลอดภัยจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาจสูญเสียการคุ้มครองการประกันภัยที่สำคัญ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติจะขยายพื้นที่และมีความรุนแรงขึ้น ในขณะที่อุณหภูมิโลกที่กำลังสูงขึ้น ทำให้ความต้องการประกันภัยเพิ่มขึ้น
Carolyn Kousky รองประธานของกองทุนป้องกันสิ่งแวดล้อมและนักวิชาการด้านธุรกิจประกันภัย กล่าวว่า ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่ทำให้การประกันภัยมีความสำคัญมากขึ้น กลับเป็นสาเหตุที่ทำให้การทำประกันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากขึ้น
ด้านบริษัทประกันภัย Allstate กล่าวว่า กลยุทธ์การลดความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศจะรวมถึงการจำกัดธุรกิจใหม่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อพายุเฮอริเคนมากที่สุด และการนำเหตุพายุหมุนเขตร้อน พายุลมรุนแรง และลูกเห็บ ไปใช้ในการหักลดหย่อนหรือการยกเว้นค่าเสียหายตามความเหมาะสม ซึ่งจนถึงขณะนี้บริษัทได้ถอนตัวให้บริการแล้วในบางพื้นที่ของสหรัฐฯ
ขณะที่อีกบริษัทประกันชั้นนำอย่าง Nationwide ได้ทยอยลดขอบเขตการให้บริการประกันมาตั้งแต่ปี 2020 โดยเริ่มต้นที่พื้นที่เขตทุรกันดารที่มีอันตราย ซึ่งเป็นเขตเชื่อมต่อระหว่างเมืองในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งล่าสุด Nationwide กล่าวว่า จะไม่รับประกันความคุ้มครองสำหรับทรัพย์สินที่อยู่ในระยะที่กำหนดจากแนวชายฝั่งอีกต่อไป เนื่องจากอิทธิพลของพายุเฮอริเคนที่รุนแรงขึ้นและถี่ขึ้น
Nationwide ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ จะตามมา โดยมุ่งไปที่การลดความเสี่ยงจากพายุเฮอริเคนที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น และจะเริ่มนำมาใช้ภายในสิ้นปี 2023
ขณะที่ Berkshire Hathaway ซึ่งให้บริการประกันภัยต่อ (Reinsurance) สำหรับผู้ให้บริการประกันภัย ระบุว่า ภัยพิบัติทางสภาพอากาศที่เพิ่มขึ้นหมายความว่า มีความเป็นไปได้ที่ข้อกำหนดและเงื่อนไขของกรมธรรม์จะได้รับการปรับปรุงหรือแก้ไข เพื่อสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงดังกล่าว
รายงานครั้งนี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่บรรดาเจ้าของบ้านในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งตอกย้ำถึงความท้าทายใหม่ๆ ที่ตลาดประกันภัยต้องเผชิญ
โดยเมื่อไม่นานมานี้พายุเฮอริเคนไอดาเลียทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในรัฐจอร์เจียและแคโรไลนา รวมถึงพัดถล่มพื้นที่บางส่วนของรัฐฟลอริดา ซึ่งไม่เคยถูกโจมตีโดยตรงจากพายุใหญ่มาก่อน ขณะที่พายุโซนร้อนฮิลารีได้สร้างความเสียหายมูลค่า 600 ล้านดอลลาร์บนพื้นที่ชายฝั่งตะวันตก อีกทั้งยังมีรายงานของ Karen Clark & Co. บริษัทจำลองภัยพิบัติชั้นนำ พบว่า ไฟป่าบนเกาะเมาวีของฮาวาย ซึ่งสาเหตุยังอยู่ระหว่างการสืบสวน ส่งผลให้ทรัพย์สินเสียหาย 3.2 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ คนในวงการประกันภัยกล่าวว่า หายนะเหล่านั้นกำลังสะท้อนว่า ต้นทุนการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยข้อมูลของ American Property Casualty Insurance Association (APCIA) พบว่า บรรดาบริษัทประกันในสหรัฐฯ ได้จ่ายเงิน 2.958 แสนล้านดอลลาร์สำหรับความคุ้มครองค่าเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่ข้อมูลของ Aon บริษัทบริหารความเสี่ยงระหว่างประเทศ พบว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2023 ในสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทประกันสูญเสียราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการสูญเสียที่เสียหายมากที่สุดเป็นอันดับ 3 สำหรับในช่วงครึ่งปีแรก
David Sampson ประธานสมาคมประกันทรัพย์สินส่วนบุคคลแห่งอเมริกา (American Property Casualty Insurance Association) กล่าวว่า ไม่มีที่ใดให้ซ่อนตัวจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงเหล่านี้ และภัยพิบัติทางธรรมชาติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ดังนั้นบริษัทประกันจึงต้องพิจารณาถึงการกระจุกตัวของความเสี่ยงอีกครั้ง เพื่อวางแผนนำเสนอกรมธรรม์ความคุ้มครองที่เหมาะสม และไม่กระทบต่อการเติบโตของบริษัทต่อไป
อ้างอิง: