เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 นายกรัฐมนตรีได้แถลงรายละเอียดของโครงการ e-Refund เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นครั้งแรก โดยมีแผนเสนอให้ ครม. พิจารณาอนุมัติในเดือนธันวาคม และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 โดยมาตรการนี้ ผู้เสียภาษีจะได้รับภาษีคืนจากการจับจ่ายสินค้าและบริการมูลค่ารวมไม่เกิน 50,000 บาท
InnovestX Research ประเมินว่าการลดหย่อนภาษีช้อปปิ้งครั้งล่าสุด (ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 40,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2566 เพิ่มขึ้นจาก 30,000 บาท) ช่วยกระตุ้นการเติบโตของยอดขายสาขา (SSS Growth) ของ HMPRO ได้ 2%YoY สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ เนื่องจากยอดใช้จ่ายต่อบิลของ HMPRO สูงกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มฯ ดังนั้นจึงคาดว่า HMPRO จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักในกลุ่มพาณิชย์จากมาตรการครั้งนี้เช่นกัน
สำหรับกำไร 4Q66 แม้ยอดขายสาขา (SSS) จะยังคงหดตัวลงใน 4Q66TD แต่คาดว่ากำไร 4Q66 ของ HMPRO อย่างน้อยที่สุดจะอยู่ในระดับทรงตัว หรือเพิ่มขึ้น YoY จากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น และเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล
ใน 4Q66 ประเมินได้ว่ายอดขายของ HMPRO จะเติบโต YoY โดยได้แรงหนุนจากการขยายสาขาโดยใน 4Q66 HMPRO วางแผนเปิดสาขาใหม่ 3 สาขา ซึ่งจะทำให้บริษัทมีสาขารวมทั้งหมด 127 สาขา ณ สิ้นปี 2566 (เพิ่มขึ้น 9%YoY และ 2%QoQ) ประกอบด้วยร้านเมกาโฮม 1 สาขาที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สาขาเมกาโฮมและสาขาโฮมโปรติดกันที่จังหวัดภูเก็ต (หลังจากพบว่ายอดขายเป็นที่น่าพอใจท่ามกลางค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายลงทุนที่ลดลงจากการเปิดสาขาเมกาโฮมและสาขาโฮมโปรติดกันที่จังหวัดขอนแก่นในปี 2565)
ในเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน SSS ของบริษัทลดลงในอัตราเลขตัวเดียวระดับกลาง YoY เพราะได้รับผลกระทบจาก: 1. กำลังซื้อที่เปราะบางในต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ (ยกเว้นพื้นที่ท่องเที่ยว) 2. ผลกระทบเชิงลบต่อยอดขายไม่ถึง 1%YoY จากการก่อสร้างถนนในย่านราชพฤกษ์ สุขสวัสดิ์ และลำลูกกา ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดย HMPRO คาดว่า SSS ในช่วงที่เหลือของ 4Q66 จะปรับตัวดีขึ้นจากการจัดงาน Super Expo ทุกสาขาในวันที่ 24-28 พฤศจิกายน งาน HomePro Expo ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และงาน HomePro Fair ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในเดือนธันวาคม
ทั้งนี้ คาดว่า EBIT Margin ใน 4Q66 จะกว้างขึ้น YoY โดยเกิดจาก: 1. อัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้น YoY จากการมียอดขายสินค้า Private Brand ที่ให้มาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้น ทั้งร้านโฮมโปรและร้านเมกาโฮม และไม่มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเชิงรุกเหมือนใน 4Q65 2. อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่ทรงตัว เพราะค่าใช้จ่ายในการขยายสาขาที่สูงขึ้นจะถูกชดเชยโดยต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ลดลง
กระทบอย่างไร:
ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้น HMPRO ปรับลง 2.48% สู่ระดับ 11.80 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 0.68%WoW สู่ระดับ 1,380.18 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
ด้วยยอดใช้จ่ายต่อบิลที่สูงกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มพาณิชย์ HMPRO จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์รายหลักจากโครงการ e-Refund ราคาหุ้น HMPRO ยังไม่ได้สะท้อนประโยชน์จากโครงการ เนื่องจากราคาหุ้นยังไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนประกาศรายละเอียดของโครงการ e-Refund และตอนนี้เทรดที่ PE ปี 2566 ระดับ 24 เท่า หรือเท่ากับระดับ -2S.D. จาก PE เฉลี่ย 10 ปี
อย่างไรก็ดี กำไร 4Q66 ที่คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ การจัดตั้งกองทุน TESG (SET ESG Rating ของ HMPRO อยู่ที่ระดับ ‘AA’) และการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น InnovestX Research ยังคงเรตติ้ง Outperform สำหรับ HMPRO ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 15 บาทต่อหุ้นต่อหุ้น
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่