เกิดอะไรขึ้น:
InnovestX Research คาดว่ายอดขายสาขา (SSS) ของ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) จะเติบโต 5%YoY (สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ที่ 4%YoY) ใน 2Q66TD โดยได้แรงหนุนหลักจาก
- บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้น ดังเห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 39 เดือนในเดือนพฤษภาคม โดยได้แรงหนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และกิจกรรมที่มีมากขึ้นในช่วงที่มีการเลือกตั้งทั่วไป
- ฝนที่ตกน้อยกว่าปกติและอากาศที่ร้อนกว่าปกติ จะช่วยกระตุ้นยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของ HMPRO ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 20% ของยอดขายรวม ในระยะถัดไป เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาว่าปริมาณฝนจะต่ำกว่าปกติและอากาศจะร้อนกว่าปกติในเดือนมิถุนายน-สิงหาคม จะสนับสนุนให้ SSS ของ HMPRO เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ด้านผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่มีจำกัด:
ประเด็นแรก เมื่อพิจารณาจากนโยบายค่าแรงและค่าไฟฟ้าตามที่พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งสัญญาไว้ ซึ่งประเมินได้ว่าผลกระทบโดยรวมต่อกำไรของ HMPRO จะเป็นกลาง เนื่องจากกำไรที่จะลดลง 2% จากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (เพิ่มขึ้น 30%, โดยใช้สมมติฐานค่าใช้จ่ายพนักงาน 15-20% เชื่อมโยงกับค่าแรงขั้นต่ำ และยังไม่รวมยอดขายที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นจากกำลังซื้อที่สูงขึ้นเข้ามา) จะถูกชดเชยโดยกำไรที่จะเพิ่มขึ้น 2% จากการลดค่าไฟฟ้า (-15%)
ประเด็นที่สอง สำหรับนโยบายหวยใบเสร็จตามที่พรรคก้าวไกลเสนอไว้นั้น ประเมินได้ว่าผลกระทบต่อกลุ่มพาณิชย์จะคล้ายกับที่เห็นได้จากมาตรการคนละครึ่งในปี 2563-2565 ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมโครงการนี้ โดยในตอนนั้นได้สังเกตเห็นผลกระทบที่เป็นกลางต่อยอดขายของ HMPRO
ประเด็นที่สาม คือการยกเลิกการผูกขาดเป็นประเด็นที่จะต้องติดตามต่อไป ตลาดสินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้านในประเทศไทย (รวมถึงโมเดิร์นเทรดและร้านค้าปลีกดั้งเดิม) เป็นตลาดที่มีผู้เล่นหลายราย และไม่มีผู้เล่นรายใดที่ครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าครึ่งหนึ่ง หากนับเฉพาะบริษัทที่ประกอบธุรกิจค้าปลีกสินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้านที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่ายอดขาย 39% จากยอดขายรวมทั้งหมดในปี 2565 มาจาก HMPRO, 22% มาจากไทวัสดุ (CRC), 21% มาจาก GLOBAL และ 18% มาจาก DOHOME ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่มีบริษัทหนึ่งบริษัทใดที่จัดเป็นผู้มีอำนาจผูกขาด
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น HMPRO ปรับลดลง 0.71%MoM อยู่ที่ระดับ 14.00 บาท ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 1.50%MoM สู่ระดับ 1,537.59 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
ปัจจัยกระตุ้นเชิงบวกจากยอดขายสาขา (SSS) ที่เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ใน 2Q66TD และความเสี่ยง Downside จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลที่ค่อนข้างมีจำกัด น่าจะช่วยให้ HMPRO กลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดได้หลังจากราคาหุ้นปรับตัว Underperform SET อยู่ 2% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
สำหรับผลประกอบการปี 2566 คาดว่ากำไรของ HMPRO จะเติบโต 14%YoY โดยได้รับการสนับสนุนจาก SSS ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง การขยายสาขาเชิงรุก และมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น โดยกำไรจะเพิ่มขึ้น QoQ ตั้งแต่ 1Q66 ถึง 4Q66 จากปัจจัยฤดูกาล
กลยุทธ์การลงทุนให้เรตติ้ง Outperform สำหรับ HMPRO ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF (WACC ที่ 7.0% และการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ที่ 17 บาทต่อหุ้น และคาดว่ากำไร 2Q66 จะเติบโต YoY จาก SSS ที่เติบโต (SSS เติบโต 5%YoY ใน 2Q66TD จากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้น ฝนที่ตกน้อย และอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ) รายได้ค่าเช่าที่ฟื้นตัว และมาร์จิ้นที่กว้างขึ้น และเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือการเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่