ดัชนี Hang Seng China Enterprises ลดลง 2.4% ใกล้แตะระดับต่ำสุดเกือบ 2 ทศวรรษ ขณะที่ดัชนี CSI 300 ของจีนแผ่นดินใหญ่ลดลง 1.6% ส่งผลให้ดัชนีที่ติดตามส่วนต่างระหว่างราคาหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่กับหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงพุ่งสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2009
ความสูญเสียอย่างรุนแรงในฮ่องกง ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทจีนที่มีอิทธิพลและมีนวัตกรรมมากที่สุดบางแห่ง และได้รับอิทธิพลจากรัฐบาลจีนน้อยกว่า สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่น่ากังวลมากขึ้นของนักลงทุนทั่วโลกที่มีต่อประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก
ภาวะเทขายหุ้นจีนยิ่งดูย่ำแย่เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่คึกคัก โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (19 มกราคม) ดัชนี S&P 500 เพิ่งทำระดับสูงสุดเป็นสถิติใหม่ในรอบ 2 ปี
ความอ่อนแอที่ยืดเยื้อยังเกิดขึ้นหลังจากธนาคารพาณิชย์จีนคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งสอดคล้องกับการตัดสินใจล่าสุดของธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่ตัดสินใจคงต้นทุนการกู้ยืม แต่นั่นส่งผลให้นักลงทุนต่างผิดหวังที่ทางการจีนไม่ยกระดับการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มากกว่านี้
Redmond Wong นักกลยุทธ์ตลาดจาก Saxo Capital Markets HK กล่าวว่านักลงทุนสถาบันต่างประเทศจำนวนมากที่ลงทุนใน H-Share (หุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง) ได้ปรับเปลี่ยนการลงทุนจากฮ่องกงไปยังญี่ปุ่นและตลาดเอเชียอื่นๆ ขณะที่นักลงทุนสถาบันในแผ่นดินใหญ่บางรายอาจมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนหุ้นที่จะขาย และยังมีแนวโน้มที่จะติดไบแอสกับปัจจัยในประเทศมากกว่า
หุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกงมักถูกมองว่าเป็นตัวชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจจีน และเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวมที่แม่นยำกว่าในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่การซื้อขายในเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น มักได้รับอิทธิพลจากการแทรกแซงของหน่วยงานกำกับดูแลจีนอยู่เสมอ ตั้งแต่การจำกัดการขายชอร์ต การจำกัดการเสนอขายหุ้น IPO ตลอดจนถึงการกล่าวตักเตือนและการแทรกแซงโดยตรงจากกองทุนรัฐ
ดัชนี HSCEI อยู่ใกล้ระดับต่ำสุดเมื่อปี 2005 เพียงเล็กน้อย และดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงเองก็แตะใกล้ระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่ปี 2009 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Meituan และ Tencent Holdings รวมถึงผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอย่าง Li Auto และ BYD ถือเป็นบรรดาหุ้นที่ร่วงแรงที่สุดในวันจันทร์ (22 มกราคม)
Marvin Chen นักวิเคราะห์ของ Bloomberg Intelligence เชื่อว่าการปรับตัวลงครั้งล่าสุดอาจเกิดจากการขาดปัจจัยกระตุ้นในระยะสั้น อีกทั้งยังมีตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าในภูมิภาคเดียวกัน ตลาดทั่วโลกกำลังกลับมาให้ความสนใจกับชิปอีกครั้ง แต่นี่จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนและที่อื่นๆ ถูกแยกห่างออกจากกันอีก จากปัญหาความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
การร่วงลงในครั้งนี้ยังเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในกองทุนรวม ETF บางกองทุนที่อ้างอิงดัชนีหลัก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอาจเป็นการซื้อขายจากรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนปีใหม่ ดัชนีหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกงได้ลดลงไปแล้ว 13% ทำให้เป็นดัชนีหลักที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดในดัชนีทั่วโลก แต่ในเวลาเดียวกัน ดัชนีของสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 กลับปรับตัวขึ้น 1.5%
อ้างอิง: