×

โฆษกสำนักนายกฯ ยัน คนรายได้สูง ไม่ ‘เจ็บตัวฟรี’ ชี้มีทางเลือกการออม จับตา ครม. เตรียมพิจารณา 4 มาตรการเพื่อการออม

09.12.2025
  • LOADING...
โฆษกสำนักนายกฯ ยัน คนรายได้สูง ไม่ ‘เจ็บตัวฟรี’ ชี้มีทางเลือกการออม จับตา ครม. เตรียมพิจารณา 4 มาตรการเพื่อการออม

โฆษกสำนักนายกฯ ยัน คนรายได้สูง ‘ไม่เจ็บตัวฟรี’ มีทางเลือกการออมให้ ชี้ LTF, RMF, Thai ESG ยังมีเหมือนเดิม จับตา ครม. เตรียมพิจารณาชุดมาตรการ ‘Quick Big Win’ เสาที่ 4 ดันการออมคนไทย หลังสัดส่วนการออมลดต่ำ และสังคมสูงวัยเร่งตัว

 

วันนี้ (9 ธันวาคม) สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สิทธิประโยชน์ใหม่ภายใต้ ‘บัญชีการออมส่วนบุคคล’ (TISA) ซึ่งมีการกำหนดเพดานหักลดหย่อนภาษีตามระดับรายได้ ถือเป็นมาตรการที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้มีรายได้น้อย ขณะเดียวกันก็จัดทางเลือกการออมสำหรับผู้มีรายได้สูง เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกว่า ‘เจ็บตัวฟรี’

 

โดยหนึ่งในแนวทางคือการเปิดจำหน่ายพันธบัตรแบบล็อตย่อยให้เลือกลงทุนเพิ่มเติม จากเดิมที่เปิดให้สถาบันการเงินมาเข้าซื้อพันธบัตรได้ก่อน สิริพงศ์ ระบุว่า จะให้ประชาชนมีสิทธิเข้าซื้อได้ แต่ต้องเป็นหน่วยย่อย ไม่ใช่หน่วยละล้าน หรือ 10ล้าน เพื่อเพิ่มทางเลือกการออมให้แก่ประชาชน

 

สำหรับผลิตภัณฑ์ออมประเภท LTF, RMF, Thai ESG หรือกองทุนเดิมอื่น ๆ สิริพงศ์ยืนยันว่า ยังเป็นทางเลือกเหมือนเดิม โดยกรอบ 800,000 บาทเป็นการเพิ่มเพดานรวมของสิทธิ์ลดหย่อน ส่วนรูปแบบการลงทุนว่าเลือกเป็นกองทุนหรือเป็นรายตัวนั้น จะให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดอีกที

 

สิริพงศ์ยังระบุอีกว่า การออกแบบพันธบัตรในรูปแบบหน่วยย่อยเป็นการช่วยให้ประชาชนฐานะปานกลางหรือผู้ที่มีเงินออมไม่มาก สามารถเริ่มออมได้ตามกำลัง “มีน้อยออมน้อยก่อน” ขณะที่ไทม์ไลน์ของมาตรการออมทั้งหมด รัฐบาลคาดว่าจะประกาศก่อนสิ้นปี เพื่อให้ประชาชนสามารถลงทุนและใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสำหรับปีหน้าได้ทันเวลา

 

จับตา ครม. เตรียมพิจารณา 4 มาตรการเพื่อการออม

 

รัฐบาลเตรียมนำมาตรการเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงินของประชาชน ภายใต้มาตรการ ‘Quick Big Win’ เสาที่ 4 เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้า หลังพบระดับการออมของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ และเผชิญแรงกดดันจากทั้งหนี้ครัวเรือนสูง ผลตอบแทนเงินฝากต่ำ และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว

 

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2568 ว่า อัตราการออมของไทยลดลงจาก 27.7% ของ GDP ในปี 2557 เหลือเพียง 25.3% ในปี 2566 ขณะที่ 53 จังหวัดมีประชากรสูงวัยเกิน 20% ของประชากรทั้งหมด สะท้อนความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว หากไม่เร่งยกระดับความพร้อมด้านการออมของคนไทยในทุกช่วงวัย

 

เอกนิติกล่าวว่า รัฐบาลได้ออกแบบมาตรการเพื่อ สร้างแรงจูงใจ สร้างความมั่นใจ ตลอดจนสร้างความสบายใจ ให้ประชาชนเข้าถึงการออมและการลงทุนได้ง่ายขึ้น โดยมุ่งขยายฐานออมระยะยาวทั้งกลุ่มคนเริ่มทำงาน มนุษย์เงินเดือน คนรายได้ปานกลาง ไปจนถึงผู้ใกล้เกษียณและผู้สูงอายุที่ต้องการความมั่นคงทางการเงินเพิ่มเติม ผ่านมาตรการต่างๆ ดังนี้

 

1.โครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (TISA)

 

รัฐบาลเตรียมยกระดับโครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (Thailand Individual Saving Account – TISA) ให้เป็น ‘กรอบสิทธิประโยชน์และบัญชีออม-ลงทุนระยะยาวยุคใหม่’ เพื่อเพิ่มทางเลือกการออมที่หลากหลายขึ้น และยืดหยุ่นกว่าเดิม

 

โดยผู้เข้าร่วมโครงการสามารถเลือกการลงทุนได้หลากหลาย ตามความเสี่ยงของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) หรือกองทุนรวมใหม่ๆ ที่ผ่านการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกระทรวงการคลัง

 

จุดสำคัญคือ รัฐบาลไม่จำกัดวงเงินของแต่ละกอง แต่จะคิดรวมเพื่อลดหย่อนภาษีตามเพดานที่รัฐบาลกำหนด 800,000 บาท ช่วยให้ประชาชนวางแผนได้คล่องตัว และเพิ่มแรงจูงใจให้ลงทุนออมระยะยาวมากขึ้น

 

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะมีการแถลงรายละเอียดโครงการ TISA หลังการประชุมครม. เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลเงื่อนไข สิทธิประโยชน์ และแนวทางการเข้าร่วมอย่างครบถ้วน

 

2.โครงการพันธบัตรรัฐบาล ‘ออมพลัส’

 

รัฐบาลเตรียมออกพันธบัตร ‘ออมพลัส’ อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้ใกล้เกษียณและผู้สูงอายุ เข้าถึงการออมที่มั่นคงได้ง่ายกว่าเดิม โดยมีจุดเด่นคือ

 

  • เป็นพันธบัตรรัฐบาลที่มีความมั่นคงสูง และออกขายอย่างต่อเนื่องเดือนละครั้ง
  • ซื้อได้ทั้งออนไลน์ผ่าน Bond Connect และที่ธนาคาร ลดปัญหาการแย่งซื้อ ช่วงเปิดจองแบบในอดีต
  • สามารถขายในตลาดรองได้ เพิ่มสภาพคล่องและความสบายใจ

 

3.สร้างความสบายใจ ยกเว้นอากรแสตมป์ ‘ไมโครอินชัวรันส์’

 

มาตรการยกเว้นอากรแสตมป์ให้กรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) จะช่วยให้ประชาชนรายได้น้อยเข้าถึงการประกันภัยพื้นฐานได้ง่ายขึ้น ด้วยเงื่อนไขไม่ซับซ้อน เบี้ยประกันไม่สูง และคุ้มครองตรงความต้องการ ส่งเสริมวินัยทางการเงินและการออมในกลุ่มเปราะบาง

 

4.อนุญาต ‘Lump-Sum Annuity’ รับบำนาญก้อนแรกเป็นเงินก้อนได้

 

รัฐบาลเตรียมสนับสนุนประกันชีวิตแบบบำนาญรูปแบบใหม่ ที่ให้ผู้เอาประกันสามารถรับ ‘เงินบำนาญงวดแรกเป็นเงินก้อน’ เพื่อช่วยเตรียมตัวเข้าสู่วัยเกษียณได้ยืดหยุ่นขึ้น

 

ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้ปรับหลักเกณฑ์ให้รูปแบบรับผลประโยชน์แบบนี้สามารถเข้ารับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้แล้ว ซึ่งจะเพิ่มแรงจูงใจให้ประชาชนทำประกันบำนาญมากขึ้น ลดความเสี่ยงการพึ่งระบบบำนาญรัฐเพียงด้านเดียว

 

คปภ. เสนอมาตรการ ปฏิรูปการลงทุน-ลดความเสี่ยงภาคประกันภัย

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจยังได้รับทราบความคืบหน้ามาตรการของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) อีกด้วย ดังนี้

 

1.) ปฏิรูปหลักเกณฑ์การลงทุนของธุรกิจประกันภัย ให้เข้าถึงสินทรัพย์ลงทุนที่หลากหลายขึ้น เพิ่มผลตอบแทนระยะยาวแก่ผู้เอาประกัน

 

2.) ปรับเกณฑ์ค่าความเสี่ยงตราสารทุน ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและมาตรฐานสากล เพิ่มความมั่นคงของระบบประกันภัย

 

ดร.เอกนิติกล่าวว่า มาตรการทั้งหมดจะถูกเสนอเข้าครม. เพื่อผลักดันให้ประชาชน “ออมได้ง่าย คุ้มค่า และมั่นคงขึ้น” พร้อมช่วยยกระดับระดับเงินออมของประเทศ และเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising