ถึงแม้ว่าทั่วโลกกำลังเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้อ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับความนิยม และความต้องการของสินค้าลักชัวรีแบรนด์อย่าง Hermès ได้ง่ายๆ เห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทในครึ่งแรกของปี 2022 ที่พบว่ามีการเติบโตขึ้นในทุกมิติ
เริ่มที่รายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ทาง Hermès ทำไปได้ทั้งหมด 5,475 ล้านยูโร หรือราว 201,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2021 ในอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน หรือ 23% ในอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ซึ่งมาจากยอดขายในไตรมาสที่ 2 ถึง 2,710 ล้านยูโร
หากเจาะดูเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตสูงสุดพบว่า เฉพาะที่ฝรั่งเศสมีการเติบโตมากขึ้นถึง 41% จากปีก่อน ผลมาจากการเดินทางท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเป็นปกติ และฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญในการช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยว
ตามมาด้วยฝั่งอเมริกาที่เติบโตขึ้น 34% จากการเปิดสาขาใหม่ที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ตามมาด้วยฝั่งยุโรปที่ทำได้เท่ากัน 34% เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นที่ยังคงมีลูกค้าในประเทศอันเหนียวแน่นที่ 20% และทวีปเอเชียที่ 15% จากยอดขายในประเทศสำคัญ ทั้ง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และจีน
ส่วนกลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมและมีการเติบโตมากที่สุด หาใช่กระเป๋าหรือเครื่องหนัง แต่เป็นกลุ่มสินค้านาฬิกาที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดที่ 55% จากการผลักดันนาฬิการุ่น Arceau Le Temps Voyageur, Heure H และ Cape God ตามมาด้วยฝั่งเสื้อผ้าเรดี้ทูแวร์และแอ็กเซสซอรีที่ 36%, กลุ่มผ้าไหมและสิ่งทอที่ 29%, กลุ่มน้ำหอมและบิวตี้ 23% และเครื่องหนังและอานม้า 12% ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำรายได้ให้บริษัทมากที่สุดที่ 2,358 ล้านยูโร
Axel Dumas ซีอีโอของ Hermès กล่าวว่า “นับเป็นผลงานที่น่าตื่นเต้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ที่มีการเติบโตในทุก 16 แผนก และความต้องการในสินค้าจากช่างฝีมือของเราที่ยังคงแข็งแรง ผ่านกระบวนการที่ยั่งยืนโดยไม่ประนีประนอมเรื่องคุณภาพ ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนแบบนี้ เราจะเดินหน้าด้วยความมั่นใจ และเชื่อมั่นในบทบาทของบริษัทที่มีต่อทั้งพนักงานและหุ้นส่วน”
ภาพ: Elisabetta A. Villa / Getty Images