ในช่วงรอบตลาดการซื้อ-ขายผู้เล่นฤดูหนาวนั้นทั้งหนาวๆ และเหงาๆ เพราะบรรดาผู้เล่นรายใหญ่ในพรีเมียร์ลีกไม่กล้าที่จะกระดิกตัวมากนัก เนื่องจากความหวั่นเกรงต่อกฎ Profit and Sustainability Rules (PSR) ข่าวการย้ายทีมที่สร้างความฮือฮาไปจึงปรากฏอยู่ที่ซาอุดีอาระเบียอีกครั้ง
แต่คราวนี้ไม่ใช่การย้ายเข้าของนักเตะซูเปอร์สตาร์คนไหนอีก ในทางกลับกันเป็นการย้ายออกของหนึ่งในสตาร์ที่ตัดสินใจขออำลาชีวิตการเล่นในแดนทะเลทรายทั้งๆ ที่เพิ่งไปอยู่ได้เพียงแค่ 6 เดือน
นักเตะคนดังกล่าวคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน อดีตกัปตันทีมลิเวอร์พูล และแกนหลักของทีมชาติอังกฤษ ที่คาดว่าจะมีการเปิดตัวกับอาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม ว่าที่สโมสรใหม่ ภายในวันนี้ ภายหลังจากที่การย้ายทีมเชื่อว่าได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในทุกขั้นตอนแล้ว
แน่นอนว่าการตัดสินใจครั้งนี้นำไปสู่เครื่องหมายคำถามจำนวนมาก ว่าเหตุใดเฮนเดอร์สันที่ดูมั่นอกมั่นใจกับการย้ายไปเล่นที่ซาอุดีโปรลีกโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องของสิ่งที่ตัวเองเคยสร้างมา ไม่ว่าจะเรื่องของเกียรติประวัติหรือการเคยเป็นหนึ่งในเสียงที่สำคัญของชาว LGBTQIA+ แต่กลับไปเล่นฟุตบอลในประเทศที่การเป็นตัวของตัวเองในเรื่องเพศเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
และสิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือ มีรายงานด้วยว่า เฮนเดอร์สัน ‘เผ่น’ ออกมาครั้งนี้มีราคาที่ต้องจ่ายคือการทิ้งทุกอย่าง รวมถึงเงินค่าเหนื่อยที่จะไม่ได้รับแม้แต่แดงเดียว
แล้วนี่จะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าซาอุดีโปรลีกจะฟองสบู่แตกแล้วหรือเปล่า?
คำถามแรกที่เกิดขึ้นคือ ทำไมเฮนเดอร์สันจึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะย้ายออกจากซาอุดีอาระเบีย?
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในจุดเริ่มต้นก่อนว่า กองกลางวัย 33 ปี ได้รับการทาบทามจาก สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตรุ่นพี่เจ้าของปลอกแขนกัปตันทีมแห่งแอนฟิลด์รุ่นก่อน ที่ได้โอกาสเข้าไปคุมทีมอัล อิตติฟาค ในซาอุดีโปรลีก ซึ่งเจ้าของสโมสรก็เป็นแฟนบอลลิเวอร์พูลตัวยง
เมื่อรวมกับการที่เข้าไปพูดคุยกับ เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ถึงแนวทางการทำทีมในฤดูกาล 2023/24 ซึ่งได้รับคำตอบว่าทีมจะมีการเปลี่ยนแปลงผ่าตัดครั้งใหญ่ และโอกาสในการลงสนามของเฮนเดอร์สันจะน้อยลงกว่าเดิม ไม่ได้เป็นตัวหลักเหมือนก่อน ทำให้มิดฟิลด์จอมขยันตัดสินใจที่จะยอมรับคำเชิญชวนของเจอร์ราร์ด
ส่วนหนึ่งเชื่อว่าซาอุดีโปรลีก ซึ่งดึงดูดนักเตะระดับสตาร์ไปจนถึงซูเปอร์สตาร์มากมายน่าจะเป็นลีกที่มีมาตรฐานพอสมควร
การได้ลงสนามต่อเนื่องที่นั่นน่าจะเป็นผลดีต่อโอกาสในการรักษาตำแหน่งในทีมชาติอังกฤษไว้ เพราะในปีนี้ (2024) จะมีรายการฟุตบอลยูโรในช่วงกลางปีที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งเฮนเดอร์สันฝันว่าจะได้โอกาสลงเล่นรายการใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย
อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของรายได้ เพราะข้อเสนอจากอัล อิตติฟาค ที่แม้จะไม่ได้เป็น 1 ใน 4 สโมสรใหญ่ที่กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ PIF ซื้อหุ้นในปีที่แล้ว แต่ก็พยายามอย่างยิ่งยวดจนสามารถจะหาเงินมาจ่ายทั้งค่าตัวให้แก่ลิเวอร์พูล (12 ล้านปอนด์) และเงินค่าเหนื่อยของเฮนเดอร์สัน
ค่าเหนื่อยของเฮนเดอร์สันแรกเริ่มเดิมทีมีการ ‘ปั่น’ กันว่าทะลุไปถึง 7 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่ในความเป็นจริงแล้วตัวเลขเกินไปมาก เพราะตัวเลขที่น่าเชื่อถือคือ 3.5 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งก็ยังสูงเป็นระดับท็อปของพรีเมียร์ลีกอยู่ดี
สำหรับนักเตะที่เหลืออายุการใช้งานไม่มาก นี่เป็นข้อเสนอใหญ่ก้อนงามที่จะประกันความอยู่ดีกินดีให้ครอบครัวได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว
แต่ปรากฏว่าชีวิตจริงไม่เหมือนความฝันแม้แต่น้อย
อย่างที่ทราบกันว่ามาตรฐานการเล่นของซาอุดีอาระเบีย แม้จะเป็นชาติระดับมหาอำนาจเอเชีย แต่ลีกฟุตบอลยังห่างไกลจากระดับท็อปของโลกอย่างพรีเมียร์ลีก หรือแม้แต่ในกลุ่ม Top 5 ของยุโรปมาก
ในขณะที่ทีมที่ไปอยู่ด้วยอย่างอัล อิตติฟาค ก็ไม่ใช่สโมสรใหญ่ของประเทศ มีฐานแฟนฟุตบอลน้อยมาก
ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ชมอยู่เพียงแค่ ‘หลักร้อย’ ไม่ได้ต่างอะไรจากฟุตบอลไทยในยุคซบเซา
ผลงานของทีมก็ย่ำแย่ จนทำให้มีข่าวว่าจะมีการปลดเจอร์ราร์ดพ้นจากการเป็นนายใหญ่ของทีม ซึ่งเรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางจิตใจของเฮนเดอร์สันอยู่ไม่น้อย
ยังไม่นับเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวที่มีรายงานว่า เฮนเดอร์สันต้องให้ครอบครัวพักอยู่ที่บาห์เรน ซึ่งมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าย้ายมาอยู่ด้วยกันในเมืองอัดดัมมาม แม้ว่าจะเป็นเมืองใหญ่ทางตะวันออกของซาอุดีอาระเบียก็ตาม
ทั้งหมดนี้เมื่อรวมกับเรื่องของโอกาสในการลุ้นไปฟุตบอลยูโร 2024 ที่น้อยลงไปทุกที ทำให้เฮนเดอร์สันตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
หักเป็นหัก!
ไปได้ แต่เงินไม่ได้นะ
ความลำบากในการพูดคุยกับทางอัล อิตติฟาค ของเฮนเดอร์สันในการขอย้ายออกจากสโมสรคือเงื่อนไขที่ผูกมัดกันในตอนย้ายทีมมา
อย่างแรกสุดคือเรื่องเงินค่าตัวที่จ่ายให้กับลิเวอร์พูล ทำให้ทางสโมสรรู้สึกว่าหากเฮนเดอร์สันจะย้ายออกจากทีม ก็จะต้องเป็นการย้ายออกอย่างถาวรเท่านั้น จะไม่ยอมให้เป็นการย้ายแบบยืมตัว และนั่นหมายถึงพวกเขาต้องได้เงินค่าตัวกลับคืนมาด้วย จะมากน้อยก็ตาม
ดังนั้นจะมาขอไปแบบยืมตัวเหมือนกรณีของ โรแบร์โต เฟียร์มิโน ที่อัล อาห์ลี ยินดีเปิดทางให้ย้ายได้ เพราะสโมสรใหญ่ไม่ได้ลำบากลำบนอะไร เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับ ‘เฮนโด้’
แต่เพราะความต้องการย้ายออกให้ได้ ทำให้เฮนเดอร์สันพยายามอย่างสุดความสามารถในการจะหาทีมรองรับ ซึ่งมีข่าวว่าหลายสโมสรเองก็สนใจ แต่ทีมเดียวที่จริงจังคืออาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม สโมสรดังของเนเธอร์แลนด์
เพียงแต่อาแจกซ์ก็ไม่มีเงินจ่ายค่าตัวเหมือนกัน แล้วจะทำอย่างไร?
เพราะคนที่จะไปให้ได้คือเฮนเดอร์สัน ทำให้เจ้าตัวจึงขอเป็นคนที่ยอมทุกอย่างอะไรก็ได้เพื่อให้ย้ายทีม ซึ่งสุดท้ายนำไปสู่การที่เขาจะไม่ได้รับค่าตอบแทนอะไรเลยจากการเล่นในซาอุดีอาระเบีย
แต่มันไม่ได้เป็นดีลที่ตรงไปตรงมาขนาดนั้น เพราะครึ่งหนึ่งมาจากตัวของเขาเองที่ไม่ต้องการเสียภาษีเงินได้เต็มอัตราของอังกฤษ
ตามกฎหมายของประเทศอังกฤษ ผู้ที่พำนักอยู่ในประเทศเกิน 90 วันและมีรายได้ต้องเสียภาษี ซึ่งเฮนเดอร์สันอยู่เกินอยู่แล้ว และการรับค่าเหนื่อย 3.5 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์จากอัล อิตติฟาค หมายถึงเขาต้องเสียภาษีเงินได้ให้อังกฤษด้วย ไม่ใช่แค่ซาอุดีอาระเบีย
ด้วยเหตุนี้ทำให้เฮนเดอร์สันขอ ‘ชะลอการรับเงิน’ ค่าเหนื่อยจากอัล อิตติฟาค ไปก่อน โดยหวังจะเริ่มรับเงินในปี 2024 นี้ เพื่อจะได้เข้าเกณฑ์สิทธิพิเศษของนักฟุตบอลที่ย้ายมาเล่นในซาอุดีอาระเบียที่จะเสียภาษีในอัตราต่ำมากๆ
นั่นเป็นแค่ ‘เด้งแรก’ ยังมี ‘เด้งสอง’ ตามมาอีก เพราะหนึ่งในเงื่อนไขสำหรับนักฟุตบอลที่หวังจะได้สิทธิพิเศษเรื่องของการลดหย่อนเงินภาษี (ซึ่งอย่าทำล้อเล่นไป สิทธิพิเศษเหล่านี้ดึงดูดใจนักฟุตบอลมาก) คือการจะต้องอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี
พูดง่ายๆ คือ ซาอุดีอาระเบียออกแบบกฎไว้ป้องกันไม่ให้นักเตะและเอเจนต์หัวหมอเข้ามาโกยเงินแวบๆ แล้วก็ไป
ดังนั้นหากเฮนเดอร์สันจะย้ายออกไปหลังมาอยู่แค่ 6 เดือน เขาก็ต้องเสียภาษีเต็มอัตรา ไม่มีการลดหย่อนใดๆ
เรื่องนี้จึงจบที่เฮนเดอร์สันขอเลือกที่จะไม่รับเงินค่าตอบแทนใดๆ เลยจากทางซาอุดีอาระเบีย จะได้จบด้วยกันดี ซึ่งเงินค่าจ้างที่พึงได้ของเขาอยู่ที่ปีละ 8 ล้านปอนด์ ก็จะถัวเป็นเงินค่าตัวที่สโมสรจ่ายให้กับลิเวอร์พูลที่อาจจะได้กลับคืนมาไม่ครบ แต่อย่างน้อยสโมสรก็ได้ชื่อบนพื้นที่สื่อไปเยอะ
ส่วนเฮนเดอร์สันงานนี้ไม่ได้อะไรกลับมาเลย (อาจจะยกเว้นเงินค่าเซ็นสัญญาซึ่งเป็นเงินกินเปล่า)
ได้กลับมาอย่างเดียวคือ ‘ชีวิตและอิสรภาพ’ ที่เขาเชื่อว่าน่าจะดีกว่าทนอยู่ไปแบบนั้นจนครบสัญญา 3 ปี แบบนั้นเฉาตายแน่ๆ
เรื่องของความสำเร็จ? สภาพอาแจกซ์ตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากแค่ ‘เรือชูชีพ’ เท่านั้น แต่ก็ดีกว่าไม่มีเรือลำใดลอยผ่านมาเลย…จริงไหม?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- จอร์แดน เฮนเดอร์สัน นักบอลธรรมดาที่กลายเป็น ‘หัวหน้าห้อง’ ตลอดไปของลิเวอร์พูล
- จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เซ็นสัญญาร่วมทัพ ‘อัล อิตติฟาค’ อย่างเป็นทางการ ค่าตัว 12 ล้านปอนด์
อ้างอิง: