วันนี้ (23 ธันวาคม) นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงความคืบหน้าการดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุขจากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขยังคงเฝ้าระวังเข้มข้นในพื้นที่ 7 จังหวัด พร้อมรายงานสถานการณ์ล่าสุด
วานนี้ (22 ธันวาคม) พบประชาชนในจังหวัดสระแก้วได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบจำนวน 7 ราย แบ่งเป็น:
- ผู้บาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด 5 ราย: อาการสาหัส 1 ราย และอาการปานกลาง 4 ราย ทั้งหมดอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- ผู้ที่มีอาการตกใจ/แน่นหน้าอก 2 ราย: แพทย์ตรวจรักษาแล้วอนุญาตให้กลับบ้านได้
สถานการณ์การให้บริการทางการแพทย์มีการเปลี่ยนแปลง โดยโรงพยาบาลในพื้นที่ จ.ตราด คือ รพ.บ่อไร่ และ รพ.คลองใหญ่ กลับมาเปิดให้บริการได้แล้ว แต่ยังมีความจำเป็นต้องปิดบริการในพื้นที่เสี่ยงอีก 9 แห่ง ได้แก่:
- จ.อุบลราชธานี: รพ.น้ำยืน
- จ.ศรีสะเกษ: รพ.ภูสิงห์
- จ.สุรินทร์: รพ.กาบเชิง, รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา
- จ.บุรีรัมย์: รพ.บ้านกรวด
- จ.สระแก้ว: รพ.ตาพระยา, รพ.โคกสูง, รพ.คลองหาด, รพ.อรัญประเทศ
ในส่วนของ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) กลับมาเปิดบริการได้ 78 แห่ง และยังคงปิดบริการ 147 แห่ง มีการย้ายผู้ป่วยในออกจากพื้นที่เสี่ยงเพิ่มขึ้น 76 ราย (รวมสะสม 973 ราย) อย่างไรก็ตาม ศักยภาพเตียงรองรับยังเพียงพอ โดยเหลือเตียงวิกฤต 280 เตียง และเตียงทั่วไปกว่า 5,133 เตียง พร้อมปริมาณเลือดสำรองที่เพียงพอ
ปัจจุบันมีศูนย์พักพิงชั่วคราว 817 จุด มีผู้อพยพรวม 160,611 คน (เป็นกลุ่มเปราะบาง 49,563 คน) สธ. ได้เน้นย้ำมาตรการสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันโรคระบาดที่มักมากับความแออัด ได้แก่:
- โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ (ไข้หวัดใหญ่, โควิด-19)
- กลุ่มโรคจากการสัมผัสและแมลงสัตว์กัดต่อย
- โรคติดเชื้อทางเดินอาหาร (เฝ้าระวังเรื่องอาหารปรุงทิ้งไว้นาน และน้ำดื่มน้ำใช้ที่อาจปนเปื้อน)
จากการคัดกรองสุขภาพจิตประชาชนกว่า 2 แสนราย พบผู้ที่มีความเครียดสูงสะสม 1,495 ราย และเสี่ยงทำร้ายตนเอง 287 ราย แต่หลังจากทีมเยียวยาจิตใจ (MCATT) เข้าดูแล ตัวเลขความเสี่ยงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเหลือกลุ่มเครียดสูง 379 ราย และกลุ่มเสี่ยงทำร้ายตนเอง 124 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะติดตามดูแลอย่างต่อเนื่องต่อไป


