หลังสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากผลงานกราฟฟิตี้ล้อเลียนปมนาฬิกาหรูของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งพ่นไว้บริเวณสะพานลอยคนข้ามระหว่างซอยสุขุมวิท 56 กับ 58 ต่อมาภายหลังถูกลบไปแล้วโดยเจ้าหน้าที่เทศกิจ และมีกระแสข่าวว่าตำรวจเตรียมไล่ดูกล้องวงจรปิดเพื่อหาตัวผู้พ่นภาพดังกล่าว
ล่าสุด ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Headache Stencil เจ้าของผลงาน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “หนีออกมาตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืน ตอนนี้ปลอดภัยแล้วนะครับ ขอบคุณทุกความเป็นห่วงและกำลังใจจากทุกท่านครับ ไว้พบกันใหม่”
อีกทั้งยังโพสต์รายละเอียดในภายหลังเพิ่มเติมว่า “ขอความกรุณาตำรวจทุกท่านที่กำลังไปเฝ้าตามที่พักหรือไปรังควานตามบ้านคนรู้จักของผมกลางดึก วิธีที่ใช้มันดูไม่น่าเป็นตำรวจเท่าไรนัก ประชาชนธรรมดาอย่างผมย่อมมีสิทธิ์ที่จะไม่แน่ใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ผมเพียงแสดงสิ่งที่คิดด้วยงานศิลปะดังเช่น ‘สากลโลก’ มีอยู่ทั่วไป ไม่ได้ไปฆ่าใครตาย ไม่น่าต้องไล่ล่ากันขนาดนี้นะครับ และขออภัยคนรู้จักทุกท่านหากมีตำรวจไปรบกวนเพื่อตามหาผม หากใครโดนเคสนี้ฝากให้ตำรวจแสดงตัว และบัตรด้วยนะครับว่าเป็นตำรวจจริง” โดยโพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก
ทางทีมข่าว THE STANDARD ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์เจ้าของเฟซบุ๊ก Headache Stencil ซึ่งเขาระบุว่าเมื่อวาน (2 กุมภาพันธ์) มีตำรวจนอกเครื่องแบบมาที่คอนโดฯ ที่เขาพักอาศัยอยู่ และมีบางส่วนมาเฝ้าในตอนกลางคืน เช่นเดียวกับคอนโดฯ คนรู้จักที่ถูกตำรวจแวะไปเยี่ยมในกลางดึก ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะเป็นการทำหน้าที่ตามปกติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเป็นยามวิกาล
“ตอนนี้ก็หลบออกมาแล้ว เพราะไม่คิดว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับการไล่จับคนพ่นสีกำแพงด้วยการส่งคนมาหากลางดึก ถ้าผมฆ่าคนมาวิธีนี้อาจใช้ได้ แต่นี่ผมแค่แสดงความคิดเห็นของผมผ่านงานศิลปะ ผมอาจจะผิดที่ทำในที่สาธารณะ กฎหมาย และบทลงโทษมันมีอยู่ ผมเชื่อมั่นในกฎหมายนะ ผมรู้ว่าผมทำอะไรผิด แต่คำถามคือทำไมต้องเป็นยามวิกาล แล้วทำไมต้องไปรบกวนคนรอบข้าง”
นอกจากนี้เจ้าของผลงานกราฟฟิตี้ล้อปมนาฬิกาหรูยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ขณะนี้หลบออกมาจากที่พักแบบ ‘หัวซุกหัวซุน’ เพราะไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วแค่ทำผิดตามกฎหมาย “หรือมีอะไรมากกว่านั้น” ส่วนตัวฝากบอกตำรวจว่าอยากเห็นตำรวจไทยขยันแบบนี้ทุกวัน บ้านเมืองคงสงบสุขและไร้โจร
ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำผลงานล้อเลียนรัฐบาล คสช. มาหลายชิ้น แต่ไม่เคยถูกคุกคามเช่นเดียวกับครั้งนี้ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้รู้ชัดเจนว่า ‘ใครใหญ่สุด’ พร้อมระบุว่า หลังจากที่ผลงานถูกเผยแพร่ออกไป มีคนจำนวนมากพยายามติดต่อมาเพื่อขอนำลวดลายไปทำสติกเกอร์ และสกรีนเสื้อ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า “เชิญตามสบาย” เนื่องจากเป็นงาน ‘เพื่อสังคม’