น้ำท่วมครั้งใหญ่ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ขึ้นแทนที่ฝันร้ายปี 2553 ปริมาณน้ำไหลผ่านเมืองสูงถึง 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และฝนสะสมภายใน 24 ชั่วโมงกว่า 335 มิลลิเมตร กลายเป็น ‘ฝน 300 ปี’ ที่ฉุดทุกสถิติเดิมไว้เบื้องหลัง เมืองทั้งเมืองกลายเป็นอัมพาต ทั้งเพราะคลื่นน้ำถาโถม และเพราะความล้มเหลวของระบบ ที่ออกแบบไว้เพื่อตอบโลกเก่า ไม่ใช่โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงอุทกภัยตามฤดูกาล แต่คือภาพสะท้อนของวิกฤตซ้อนวิกฤต 3 ประการ ที่กำลังส่งสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดไปยังทุกเมืองทั่วประเทศ
🟡 1. วิกฤตภูมิอากาศ เมื่อฟ้าพิโรธในโลกใบใหม่
ฝนที่เทลงมาอย่างบ้าคลั่งในปริมาณมหาศาลแบบม้วนเดียวจบ คือหลักฐานประจักษ์ว่าสมมติฐานเดิมที่เราใช้ในการออกแบบเมืองเมื่อ 20–30 ปีก่อนนั้น ใช้การไม่ได้อีกต่อไป
ซ้ำร้ายพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติยังถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง จนถนนกลายเป็นคันกั้นน้ำและคลองระบายถูกบีบให้แคบลง ความไม่สมดุลระหว่างความเกรี้ยวกราดของ ‘ฟ้า’ กับความเปราะบางของ ‘โครงสร้าง’ ที่เรามี จึงเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะครั้งนี้
🟡 2. วิกฤตระบบโครงสร้าง เมื่อ ‘ดินและเมือง’ กลายเป็นกับดัก
หาดใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่แอ่งกระทะที่รับน้ำหลากจากเทือกเขา แต่การพัฒนาเมืองกลับสวนทางกับธรรมชาติ พื้นที่แก้มลิงและทางน้ำไหลเดิมถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง ถนนหนทางกลายเป็นเขื่อนกั้นน้ำโดยไม่ตั้งใจ
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในวิกฤตระบบครั้งนี้คือ ‘ภาวะตาสว่างแต่ทำอะไรไม่ได้’ เมื่อระบบสื่อสารล่มสลายไปพร้อมกับกระแสไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ผู้ประสบภัยจำนวนมากถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ทีมกู้ภัยต้องทำงานแบบตาบอดคลำช้าง
🟡 3. วิกฤตผู้นำ เมื่อ ‘การจัดการ’ ไร้ซึ่งแม่ทัพ
วิกฤตสุดท้ายและอาจเป็นวิกฤตที่แก้ได้ยากที่สุด แม้มีคนกล้าทุ่มเทแรงใจเป็นอาสาเข้าช่วย แต่ที่ขาดหายไปคือ ‘ผู้นำ’ ที่สามารถเห็นภาพรวมและสั่งการอย่างมีประสิทธิภาพ
อาสาและเจ้าหน้าที่ต่างลงมือเอง เหมือนนักดับเพลิงหลายสิบคนวิ่งเข้าตึกไฟโดยไม่มีใครวางแผนภาพใหญ่ภาพเดียว ทำให้ความพยายามที่ควรประสานและมีทิศทาง กลับกลายเป็นความสับสน
นี่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะบุคคล แต่เป็นปัญหาโครงสร้าง ที่ออกแบบให้แบ่งงานเป็นส่วนย่อย ทำงานแยกส่วนกัน จึงอ่อนแอต่อภัยพิบัติฉับพลัน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับหาดใหญ่คือกระจกเงาบานใหญ่ที่สะท้อนอนาคตของเมืองอื่นๆ ทั่วประเทศ หากเรายังตอบสนองภัยพิบัติเพียงด้วยถุงยังชีพ มาตรการเยียวยา และการรอให้น้ำลด ความเสียหายก็จะกลายเป็นวัฏจักรซ้ำซากที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เราต้องกล้ารื้อระบบการจัดการภัยพิบัติ ตั้งแต่การตั้งศูนย์บัญชาการที่มีอำนาจจริง การรวมข้อมูลให้เป็นหนึ่งเดียว และการวางผังเมืองที่เรียนรู้จะ ‘อยู่กับน้ำ’ ไม่ใช่พยายามเอาชนะน้ำ อย่างฝืนใจ เพราะทุกวิกฤตยังซ่อนโอกาส และนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะเปลี่ยนวิธีคิด ก่อนที่กระแสน้ำจะพัดพาทุกอย่างไปมากกว่านี้


