เจ้าชายแฮร์รีและเมแกน ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ได้เข้าร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกฉบับสำคัญ ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์, นักเศรษฐศาสตร์, ศิลปิน, ผู้นำคริสเตียนนิกายอีแวนเจลิคัล และผู้ทรงอิทธิพลจากหลากหลายขั้วการเมืองทั่วโลก เพื่อเรียกร้องให้มีการสั่ง ‘ห้าม’ พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ระดับ Superintelligence หรือ อภิปัญญาประดิษฐ์ จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าปลอดภัยและควบคุมได้
จดหมายฉบับดังกล่าวซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธ (22 ต.ค.) ที่ผ่านมาโดยกลุ่มบุคคลสาธารณะที่มีความหลากหลายทั้งทางการเมืองและภูมิศาสตร์ มีเป้าหมายพุ่งตรงไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Google, OpenAI และ Meta Platforms ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อสร้าง AI ที่มีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ในแทบทุกด้าน
แถลงการณ์สั้นๆ ความยาวเพียง 30 คำในจดหมายระบุว่า “เราเรียกร้องให้มีการสั่งห้ามการพัฒนา Superintelligence โดยคำสั่งห้ามนี้จะไม่ถูกยกเลิก จนกว่าจะมีฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ในวงกว้างว่าการพัฒนานั้นสามารถทำได้อย่างปลอดภัยและควบคุมได้ และได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากสาธารณชน”
จดหมายได้เกริ่นนำถึงยอมรับว่าเครื่องมือ AI อาจนำมาซึ่งประโยชน์ด้านสุขภาพและความเจริญรุ่งเรือง แต่ในขณะเดียวกัน “บริษัท AI ชั้นนำหลายแห่งก็มีเป้าหมายที่ประกาศไว้ชัดเจนในการสร้าง Superintelligence ภายในทศวรรษหน้า ที่สามารถทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ทุกคนในแทบทุกด้าน”
ข้อความดังกล่าวยังระบุถึงความกังวลที่เกิดขึ้นตามมา ตั้งแต่ “การที่มนุษย์จะตกยุคทางเศรษฐกิจและสูญเสียอำนาจ, การสูญเสียเสรีภาพ, สิทธิพลเมือง, ศักดิ์ศรี และการควบคุม ไปจนถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ และแม้กระทั่งความเป็นไปได้ในการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์”
เจ้าชายแฮร์รีได้แนบข้อความส่วนตัวเพิ่มเติมว่า “อนาคตของ AI ควรมารับใช้ ‘มนุษยชาติ’ ไม่ใช่มาแทนที่ ผมเชื่อว่าบทพิสูจน์ที่แท้จริงของความก้าวหน้าไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเคลื่อนไปได้เร็วแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเรานำทางได้อย่างชาญฉลาดเพียงใด เราไม่มีโอกาสแก้ตัวครั้งที่สอง”
สจวร์ต รัสเซล (Stuart Russell) หนึ่งในผู้บุกเบิกด้าน AI และศาสตราจารย์จาก UC Berkeley ซึ่งร่วมลงนามด้วย ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “นี่ไม่ใช่การสั่งห้ามหรือการระงับการพัฒนาในความหมายปกติทั่วไป แต่เป็นเพียงข้อเสนอที่ต้องการให้มีมาตรการด้านความปลอดภัยที่เพียงพอสำหรับเทคโนโลยีที่แม้แต่ผู้พัฒนาเองก็ยอมรับว่ามีโอกาสสำคัญที่จะทำให้เกิดการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์”
ผู้ร่วมลงนามคนสำคัญอื่นๆ ยังรวมถึง โยชัว เบนจิโอ (Yoshua Bengio) และ เจฟฟรีย์ ฮินตัน (Geoffrey Hinton) สองผู้บุกเบิก AI ซึ่งได้รับรางวัล Turing Award ร่วมกัน โดยฮินตันยังได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เมื่อปีที่แล้วด้วย ทั้งคู่ต่างออกมาแสดงความกังวลถึงอันตรายของเทคโนโลยีที่พวกเขาเคยมีส่วนร่วมในการสร้างขึ้นมา
รายชื่อผู้ลงนามยังสร้างความประหลาดใจด้วยการปรากฏตัวของ สตีฟ แบนนอน (Steve Bannon) และ เกล็นน์ เบ็ค (Glenn Beck) ซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลในกลุ่มอนุรักษ์นิยมอเมริกัน สะท้อนถึงความพยายามของผู้จัดทำจดหมายจากสถาบัน Future of Life Institute (FLI) ที่จะสร้างแนวร่วมให้กว้างขวางที่สุด แม้ว่าทำเนียบขาวของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีท่าทีต้องการผ่อนคลายกฎระเบียบด้าน AI ก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงอื่นๆ อีกมากมาย เช่น สตีฟ วอซเนียก (Steve Wozniak) ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple, ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ, ไมค์ มัลเลน (Mike Mullen) อดีตประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐฯ และ ซูซาน ไรซ์ (Susan Rice) อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ
แมรี โรบินสัน (Mary Robinson) อดีตประธานาธิบดีไอร์แลนด์, สมาชิกรัฐสภาทั้งในปัจจุบันและอดีตจากสหราชอาณาจักร, ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ก็ได้ร่วมลงนามด้วย เช่นเดียวกับนักแสดงอย่าง สตีเฟน ฟราย (Stephen Fry) และ โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ (Joseph Gordon-Levitt) รวมถึงนักดนตรีอย่าง วิล.ไอ.แอม (will.i.am) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยแสดงท่าทีเปิดรับการใช้ AI ในการสร้างสรรค์ผลงานเพลง
นักแสดงอย่าง โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ ซึ่งภรรยาของเขาเคยเป็นกรรมการบอร์ดบริหารของ OpenAI ได้เขียนสนับสนุนว่า “ใช่ เราต้องการเครื่องมือ AI ที่ช่วยรักษาโรคหรือเสริมความมั่นคงของชาติ แต่ AI จำเป็นต้องเลียนแบบมนุษย์, มากล่อมเกลาลูกหลานของเรา หรือทำให้เราเสพติดเนื้อหาไร้สาระ เพื่อทำเงินมหาศาลจากการขายโฆษณาด้วยหรือ? คนส่วนใหญ่ไม่ต้องการแบบนั้น”
จดหมายฉบับนี้มีแนวโน้มที่จะจุดชนวนการถกเถียงครั้งใหญ่ในแวดวงนักวิจัย AI เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่แท้จริงของ AI ที่เหนือกว่ามนุษย์ และระดับความอันตรายที่อาจเกิดขึ้น แม็กซ์ เทกมาร์ก (Max Tegmark) ประธานของ FLI และศาสตราจารย์จาก MIT กล่าวว่า “ในอดีตมักจะเป็นแค่การโต้เถียงกันในกลุ่มคนวงใน แต่สิ่งที่เห็นในตอนนี้คือการที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้กลายเป็นกระแสหลักไปแล้ว”
ประเด็นที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นคือ บริษัทที่กำลังเร่งพัฒนา Superintelligence หรือที่บางครั้งเรียกว่า Artificial General Intelligence (AGI) นั้น ก็มักจะมีการโฆษณาเกินจริงถึงความสามารถของผลิตภัณฑ์ของตนเองเพื่อผลประโยชน์ทางการตลาด ซึ่งยิ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ในวงการ AI มากขึ้นไปอีก
เทกมาร์กยอมรับว่า “มีเรื่องราวที่ถูกปั่นกระแสเกินจริงอยู่มาก และคุณต้องระมัดระวังในฐานะนักลงทุน แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่า โดยภาพรวมแล้ว AI ได้ก้าวหน้าไปเร็วกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้มากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา”
FLI เคยเป็นผู้ริเริ่มจดหมายเรียกร้องให้มีการระงับการพัฒนา AI ชั่วคราวมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนมีนาคม 2023 แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายใดเลย และผู้ลงนามคนสำคัญที่สุดในครั้งนั้นอย่าง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ก็กำลังแอบก่อตั้งบริษัท AI ของตัวเองเพื่อมาแข่งขันในขณะนั้นเช่นกัน
เทกมาร์กกล่าวว่า เขาได้ส่งจดหมายถึงซีอีโอของบริษัท AI รายใหญ่ทุกแห่งในครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าพวกเขาจะร่วมลงนาม “ผมเห็นใจพวกเขานะ เพราะพวกเขากำลังติดอยู่ในการแข่งขันที่รุนแรงจนรู้สึกว่ามีแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้ที่จะต้องเดินหน้าต่อไป” ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องสร้างแรงกดดันทางสังคมต่อการแข่งขันพัฒนา Superintelligence จนกว่ารัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงในที่สุด
ภาพ : Kirsty O’Connor – WPA Pool/Getty Images
อ้างอิง:


