เหมาะเหลือเกินสำหรับการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศหลังคลายล็อกดาวน์ กับแคมเปญสดใหม่จากใจ ททท. ‘Happiness We Can Share’ 60 เส้นทางความสุขและการแบ่งปัน @เมืองไทย เดอะ ซีรีส์ เพื่อเชิญชวนคนไทยไปพบความหมาย ‘ความสุขแท้จริงที่เริ่มต้นจากการแบ่งปัน’ กับ 38 กิจกรรมอาสาสมัคร และ 22 ชุมชนท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย และหนึ่งในเส้นทางแห่งความสุขนี้อยู่ในพื้นที่จังหวัดนครนายก ที่สามารถขับรถเที่ยวไปกลับแบบ One Day Trip ได้อย่างสบายๆ
ล่องแก่งลำน้ำนครนายก สนุกและชิลในลำน้ำเชี่ยวเล็กๆ
ความใกล้เพียงขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร เน้นความปลอดภัย ไม่เกิน 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงจังหวัดนครนายก ถือเป็นจุดเด่นของนักท่องเที่ยวที่ไม่ชอบเดินทางไกล แต่ไปทีไรต้องฟินทุกครั้ง ซึ่งการท่องเที่ยวในแคมเปญ ‘Happiness We Can Share’ สำหรับเส้นทางนี้เราสามารถเลือกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือจะเดินทางไปกับกลุ่มนักท่องเที่ยวจิตอาสาทั่วไปด้วยรถตู้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสะดวก (ในราคารวมกิจกรรม 790 บาท) โดยเหล่านักท่องเที่ยวจิตอาสาจะต้องเตรียมสตาร์ทเช้าแรกของวันเวลา 09.30 น. ณ จุดนัดหมายบริเวณเชิงสะพานหลังเขื่อนขุนด่านปราการชล ต้นทางการล่องเรือไปตามลำน้ำนครนายก
เมื่อนัดแนะเตรียมความพร้อมเสร็จสรรพ ทุกคนต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเปียก รับหมวกและเสื้อชูชีพไว้สวมใส่ คำแนะนำคือสิ่งของมีค่าทั้งหลายควรเก็บไว้ในถุงกันน้ำ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเงิน กล้อง มือถือ หากไม่อยากไร้สิ่งของกวนใจ ก็ไม่ต้องพกไป เพียงแค่คุณอาจพลาดการแชะภาพความสวยงามของลำน้ำและวิวธรรมชาติตามริมฝั่งสองข้างทาง ซึ่งหลายจุดนั้นสวยจับจิตเกินห้ามใจได้เลยจริงๆ
สำหรับการล่องเรือในลำน้ำนครนายกนั้น แม้จะเป็นสายแอดเวนเจอร์ แต่ก็อยู่ระดับ Beginner โดยใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่ง ระยะทางเกือบ 6 กิโลเมตร สิ้นสุดปลายทางที่บริเวณบ้านวังยาว ดังนั้นอย่าไปคิดมากว่าจะยาก เจอกระแสน้ำเชี่ยวกรากซัดจนเรือล่ม เพราะถึงบางช่วงบางตอนจะคดเคี้ยวและสายน้ำไหลแรง แต่ก็อยู่ในการจัดการของนายท้ายผู้เชี่ยวชาญได้อย่างไร้กังวล นักเที่ยวจิตอาสาอย่างเรามีหน้าที่แค่พายชิลๆ ชมๆ แชะแอนด์แชร์ ก่อนเก็บอุปกรณ์การถ่ายทั้งสมาร์ทโฟนและกล้องถ่ายรูปเข้ากระเป๋ากันน้ำไปก็เท่านั้นเอง
ล่องเรือยาวสู่เขาช่องลม เดินเท้าเข้าปลูกป่าท้ายเขื่อนขุนด่านปราการชล
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเป็นอันเสร็จเรียบร้อย และให้เหล่านักท่องเที่ยวจิตอาสาได้ย่อยสักนิด ทุกคนกลับมา ณ จุดนัด บริเวณเชิงสะพานหลังเขื่อนขุนด่านปราการชลอีกครั้ง คราวนี้เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนขึ้นสันเขื่อน ล่องเรือยาว เดินเท้าเข้าป่าเพื่อปลูกป่าที่เขาช่องลมบริเวณท้ายเขื่อน จัดเต็มด้วยรองเท้าผ้าใบ หมวก แว่นกันแดด และที่สำคัญที่สุด น้ำดื่มติดตัวควรมีไว้สักขวดลิตร ห้ามลืมเด็ดขาด! เพราะคุณอาจไปไม่ถึงจุดปลูกกลางเขาก็ได้ ด้วยความเหนื่อยปนร้อนระดับเอลิสต์ หากวันนั้นต้องเจอสภาพแดดเปรี้ยงร้อนจัด (อย่างที่เราได้เจอในวันที่เดินทาง)
หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้เตรียมถอย (ไม่) อาสาจะไปปลูกป่าแล้ว แต่ขอเตือนเลยว่า คุณกำลังคิดผิด เพราะช่วงเวลาที่ล่องเรือยาวไปตามสายน้ำในเขื่อนขุนด่านปราการชลหลังได้รับพันธุ์ต้นตะเคียนไปกันคนละต้นเพื่อนำมาปลูก ทัศนียภาพรอบด้านที่สายตาต้องเข้าปะทะนั้นเป็นความงดงามยากเกินบรรยาย ด้วยทุกรายละเอียดที่ธรรมชาติบรรจงรังสรรค์ขึ้นที่นี่นั้นลงตัวทั้งสีสัน เส้นสาย และรูปทรง
ดังจะเห็นได้จากสายน้ำสีหยกเขียว ไล่โทนสีความเข้มอ่อนต่างไป ริ้วน้ำกระเพื่อมตามแรงลม กระทบแสงแดดระยิบระยับ เคียงคู่ทิวเข้าเขียวชอุ่มโอบล้อม และสายน้ำตกไหลลดหลั่นซอกแซกไปตามโขดหินน้อยใหญ่ บางคราวเห็นนกน้ำบินโฉบมาเล็งเหยื่อหาปลา เหล่านี้ได้มอบความสุขสดชื่นเติมพลังงานแบบ Quick Charge ให้กับชีวิตที่มีเพียงธรรมชาติอุดมเช่นนี้เท่านั้นจะมอบให้ได้
ล่องเรือยาวสักพักใหญ่ก็มาเทียบฝั่งริมเขา เพื่อให้ทุกคนได้เดินเท้าขึ้นเขาไปปลูกป่า บนความลาดชันระดับ 45 องศา ระยะทางไม่ใกล้และไกลจนเกินไปนักประมาณ 300 เมตร สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศ หรือคนที่ไม่ค่อยจะฟิตสักเท่าไร ก็ยังพอขึ้นไปไหว แต่ก็เหนื่อยพอแรงอยู่ น่าแปลกใจนักเมื่อเดินทางขึ้นถึงจุดปลูก เพียงแค่เอาต้นไม้วางลงในหลุมกลบดินเสร็จสิ้น ความเหนื่อยล้าที่มีก็จางหาย กลับแทนที่ด้วยความสุขฉ่ำชื่นหัวใจ จากการได้ใช้ทั้งกำลังกายและกำลังใจในการเป็นจิตอาสา เข้ามาทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และนี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสุขแท้จริงที่เริ่มต้นจากการแบ่งปัน’ ซึ่งเราสัมผัสได้ด้วยตัวเองจริงๆ
จบทริป แต่ความสุขยังเอ่อล้น
หลังลงจากเขื่อนฯ นักท่องเที่ยวจิตอาสาทุกคนก็จะได้พักผ่อน อาบน้ำ เปลี่ยนชุด กันที่จุดนัด (อีกครั้ง) โดยมีกิจกรรมปิดท้ายคือ การเดินทางไปชมดินแดนหิ่งห้อย ณ ค่ายพรหมโยธี ปราจีนบุรี ซึ่งก็แล้วแต่ความสมัครใจว่าใครจะไปหรือไม่ไปก็ได้ ทว่า ถ้ามีเวลาและไม่ได้รีบร้อนอะไรก็ควรไปชมสักนิด เพราะที่นี่หิ่งห้อยเขาเยอะจริง ไม่อ้อยอิ่งให้คอยนาน พอฟ้ามืดปุ๊บ บินออกมาจากพุ่มไม้ว่อนไปหมด เรียกว่าไม่เสียใจที่เสียเวลามาดูกัน
อย่างที่บอกไปแล้วว่านี่คือหนึ่งใน 60 เส้นทางของแคมเปญ ‘Happiness We Can Share’ 60 เส้นทางความสุขและการแบ่งปัน @เมืองไทย เดอะ ซีรีส์ เท่านั้น ยังเหลืออีก 59 เส้นทางความสุขและการแบ่งปัน ในพื้นที่ 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ ให้เลือก
หากจังหวัดไหนเดินทางไกลหน่อย อย่างกิจกรรมครูอาสาจำนวน 9 กิจกรรม ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน อุตรดิตถ์ อุทัยธานี และสตูล หรือ กิจกรรมอาสาเพื่อน้องช้างจำนวน 14 กิจกรรม ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย กาญจนบุรี เพชรบุรี อยุธยา ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี และภูเก็ต
ท่านสามารถจองตั๋วสายการบินที่เป็นพันธมิตรในแคมเปญ พร้อมข้อเสนอพิเศษ เช่น สายการบินไทยสมายล์, สายการบินนกแอร์, สายการบินแอร์เอเชีย, Travel I Go, รถเช่า และอื่นๆ อีกมากมายที่อยากให้คนไทยออกเดินทางท่องเที่ยวส่งต่อความสุขและการแบ่งปันทั่วประเทศให้แก่กันและกัน ยิ่งในวันที่เศรษฐกิจไทยโดนพิษภัยโควิด-19 โหมกระหน่ำ
ท้ายที่สุดความสุขใจทั้งการเที่ยวและการแบ่งปันในฐานะจิตอาสาจากที่เราได้รับมา ก็ขอยืนยันว่า แม้ทริปเดินทางจะจบลงแล้ว แต่ความทรงจำยังสุข เอ่อล้น ติดแน่นในภาพจำอย่างชัดเจน และคุณเท่านั้นที่จะต้องไปสัมผัสความรู้สึกเหล่านี้ด้วยตัวเอง
ติดตามเรื่องราวของ 60 เส้นทางความสุข @เมืองไทย เดอะ ซีรีส์ ได้ที่
Website: https://bit.ly/5volunteer
Facebook: www.facebook.com/60happinessroute/