หัวข้อในเนื้อหานี้
- จุดแข็งที่ต้องรักษา: คนคุ้นเคย-ช่วยร้านเล็ก
- ข้อจำกัดที่อาจต้องแก้ไข: กระตุ้นการใช้จ่ายได้ไม่เต็มที่ – Crowding Out Effect
- ถอดบทเรียนจากจีน: ทำอย่างไรให้เงินที่รัฐจ่าย 1 บาท กระตุ้นการใช้จ่ายถึง 3 บาท
- เปิดข้อเสนอแนะ การทำ ‘คนละครึ่ง’ 2.0
- ใช้งบอย่างฉลาด ในวันที่ ‘กระสุนการคลัง’ มีจำกัด
- KResearch แนะรัฐพิจารณาลดเงินอุดหนุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงการ พร้อมมุ่งเป้าเฉพาะคนจ่ายภาษี
- KResearch มองควรออกแบบใหม่ให้ตรงจุด-สร้างประโยชน์ระยะยาว
- ตรวจสอบประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลโครงการ ‘คนละครึ่ง 1.0’
‘ปัญหาเศรษฐกิจ’ ถือเป็น 1 ใน 4 ปัญหาเร่งด่วนที่ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ นายกรัฐมนตรีประกาศว่า จะเร่งแก้ไข โดยเตรียมปัดฝุ่น นำโครงการ ‘คนละครึ่ง’ กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อหวังช่วยประชาชนลดรายจ่ายและค่าครองชีพ พร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า โครงการ ‘คนละครึ่ง 2.0’ นี้อาจมีการปรับปรุงและอัปเกรดในรายละเอียดต่างๆ รวมไปถึงการเพิ่มสูตรการให้เงินอุดหนุนจากภาครัฐ เป็นสูตร 60:40 (โดยรัฐช่วยอุดหนุนในสัดส่วน 60% และประชาชนจ่าย 40%)
โดยรายละเอียดคาดว่า จะมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจาก ‘ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ’ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับโปรดเกล้าฯ
ดังนั้น ระหว่างนี้ THE STANDARD WEALTH จึงได้รวบรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยนำเสนอว่า รัฐบาลควรปรับปรุงโครงการ ‘คนละครึ่ง’ นี้อย่างไร เพื่อให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายรอบด้าน รวมไปถึงฐานะทางการคลังของไทยที่ไม่แข็งแกร่งเช่นเก่า
จุดแข็งที่ต้องรักษา: คนคุ้นเคย-ช่วยร้านเล็ก
รศ. ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ถึงกรณีที่รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ มีแนวคิดที่จะนำโครงการ ‘คนละครึ่ง’ กลับมาใช้อีกครั้ง โดยระบุว่า การฟื้นโครงการ ‘คนละครึ่ง’ มีข้อดีคือ ทั้งร้านค้าและประชาชนมีความคุ้นเคยกับโครงการนี้ รวมถึงการมีโครงสร้างพื้นฐาน อย่างแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ก็จะช่วยทำให้การดำเนินการและการลงทะเบียนร้านค้าใหม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ งานวิจัยยืนยันชัดเจนว่า โครงการคนละครึ่งที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการช่วยเหลือ ‘ร้านค้าขนาดเล็ก’ ดังนั้น หนึ่งในจุดแข็งของโครงการคือการ ‘ขยายฐานลูกค้า’ ให้กับร้านค้ารายย่อยได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยร้านค้ามีลูกค้าหน้าใหม่เพิ่มขึ้น และที่น่าสนใจคือ แม้โครงการจะสิ้นสุดลง ร้านค้าเหล่านี้จำนวนมากยังคงรักษายอดขายที่ดีไว้ได้ เนื่องจากลูกค้าใหม่ได้กลายมาเป็นลูกค้าประจำ
ข้อจำกัดที่อาจต้องแก้ไข: กระตุ้นการใช้จ่ายได้ไม่เต็มที่ – Crowding Out Effect
อย่างไรก็ตาม รศ. ดร.อธิภัทร ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดในโครงการ ‘คนละครึ่ง’ รอบก่อน โดยจากการศึกษาที่ทำร่วมกับ LINE MAN Wongnai พบว่า แม้โครงการจะช่วยเหลือร้านค้าขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี แต่กลับมีประสิทธิผลในการกระตุ้นการบริโภคโดยรวมค่อนข้างน้อย จึงเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Crowding Out Effect’
“ตามการศึกษาพบว่า โครงการคนละครึ่งครั้งก่อน เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Crowding Out Effect ก็คือ ประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการหันไปใช้เงินกับร้านที่เข้าร่วม แล้วลดการซื้อจากร้านที่ไม่ได้เข้าร่วม อย่างมีนัยสำคัญ พูดง่ายๆ คือ เหมือนการเปลี่ยนที่ซื้อมากกว่าการเพิ่มยอดซื้อ” รศ. ดร.อธิภัทร กล่าว
นอกจากนี้ รศ. ดร.อธิภัทร เปิดเผยอีกว่า จากงานวิจัยพบว่า ค่าประสิทธิผลในการกระตุ้นการใช้จ่าย (Marginal Propensity to Consume – MPC) จากโครงการคนละครึ่งครั้งก่อน อยู่ที่ 0.4 เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ทุกๆ 1 บาทที่รัฐอุดหนุน ก่อให้เกิดการใช้จ่ายจริงในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเพียง 40 สตางค์ ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับการแจกเงินสดโดยไม่มีเงื่อนไข
ถอดบทเรียนจากจีน: ทำอย่างไรให้เงินที่รัฐจ่าย 1 บาท กระตุ้นการใช้จ่ายถึง 3 บาท
รศ. ดร.อธิภัทร ได้ยกตัวอย่างมาตรการลักษณะเดียวกันในประเทศจีน ซึ่งสามารถสร้างค่า MPC ได้สูงถึง 3.0 หรือรัฐให้เงิน 1 บาท แต่กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายได้ถึง 3 บาท
โดยปัจจัยความสำเร็จอยู่ที่การออกแบบเงื่อนไขที่กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจริง ได้แก่
- ‘กำหนดเกณฑ์การใช้จ่ายขั้นต่ำ’ กล่าวคือ ผู้ใช้ต้องซื้อสินค้าถึงยอดที่กำหนดก่อนจึงจะได้รับส่วนลด
- ‘จำกัดเวลาการใช้งาน’ เนื่องจาก คูปองมีอายุสั้นแบบ ‘วันต่อวัน’ จะช่วยเร่งการตัดสินใจใช้จ่าย
โดยแนวทางดังกล่าวคล้ายกับโปรโมชันของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่คนไทยคุ้นเคย เช่น “ลด 20% เมื่อซื้อขั้นต่ำ 200 บาท” ซึ่งแตกต่างจากโครงการคนละครึ่งเดิมที่ให้ส่วนลด 50% ตั้งแต่บาทแรกและสามารถทยอยใช้ได้เรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเขต
“สิ่งที่จีนทำแตกต่างจากเราคือ เขากำหนดเกณฑ์การใช้จ่ายขั้นต่ำที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายปกติเล็กน้อย และที่สำคัญคือคูปองส่วนลดมีอายุแบบวันต่อวัน ถ้าไม่ใช้ในวันนั้นสิทธิ์ก็จะหายไป สิ่งนี้สร้างแรงจูงใจให้คนเร่งใช้จ่าย ต่างจากของไทยที่ให้ส่วนลด 50% ตั้งแต่บาทแรก และสามารถทยอยใช้สิทธิ์ได้เรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเฟส ทำให้ขาดแรงกระตุ้นให้คนใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่าปกติ” รศ. ดร.อธิภัทร กล่าว
เปิดข้อเสนอแนะ การทำ ‘คนละครึ่ง’ 2.0
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโครงการภายใต้งบประมาณที่จำกัด รศ. ดร.อธิภัทร ได้เสนอแนวทางการปรับปรุงเงื่อนไขหลายประการ ดังนี้
- กำหนดเกณฑ์การใช้จ่ายขั้นต่ำ: อาจมีการกำหนดว่าต้องซื้อสินค้าถึงยอดที่กำหนดจึงจะสามารถใช้สิทธิ์ได้ โดยอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายปกติ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจริง
“สำหรับการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำอาจจะต้องดูว่า แล้วปกติค่าเฉลี่ยการซื้อคนในโครงการเนี่ยจะซื้อกันกี่บาท ถ้ามันกำหนดสูงเกินไปก็อาจจะไม่เวิร์ก แล้วคนก็รู้สึกว่า ถ้ากำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำสูงขนาดนั้น ไม่เอาดีกว่า ก็อาจจะต้องออกแบบให้ยังน่าดึงดูดอยู่” รศ. ดร.อธิภัทร
- จำกัดสิทธิ์การใช้แบบรายวัน: โดยแบ่งวงเงินรวมออกเป็นยอดใช้จ่ายรายวัน เช่น ให้วันละ 150 บาท หากไม่ใช้ภายในวันนั้น สิทธิ์ของวันนั้นจะถูกตัดไป ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ
“สมมติให้วงเงินทั้งหมด 3,000 บาท เราอาจจะกำหนดว่า ประชาชนไม่สามารถทยอยใช้ได้ทั้งหมด แต่มีการกำหนดโควตารายวัน เช่น วันนี้ 150 บาท ถ้าไม่ใช้ สิทธิ์ของวันนี้ก็หมดไป วันถัดมาก็ได้อีก 150 บาท วิธีนี้จะทำให้คนเร่งใช้จ่ายมากขึ้น”
ใช้งบอย่างฉลาด ในวันที่ ‘กระสุนการคลัง’ มีจำกัด
รศ. ดร.อธิภัทร เน้นย้ำว่า สถานการณ์ทางการคลังในปัจจุบันแตกต่างจากสมัยรัฐบาลก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น รัฐบาลอาจต้องพิจารณากำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่า ต้องการเพียงแค่ช่วยเหลือร้านค้า หรือต้องการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย ซึ่งหากเป้าหมายคืออย่างหลัง การปรับปรุงเงื่อนไขตามที่เสนอจะเป็นโจทย์ที่ตอบโจทย์ได้ดีกว่า
“ต้องยอมรับว่าตอนนี้กระสุนทางการคลังของเรามีไม่เยอะเหมือนเดิม โดยโครงการคนละครึ่งครั้งก่อน มีการทำหลายเฟส ใช้งบประมาณเป็นหลักแสนล้าน แต่ปัจจุบันงบประมาณเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจเหลือเพียงราว 25,000 ล้านบาท และยังต้องกันส่วนหนึ่งไว้สำหรับมาตรการอื่นๆ อีก ดังนั้นการใช้งบประมาณที่จำกัดจึงต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้มากที่สุด”
“หลายคนบ่นว่า เศรษฐกิจซบเซา หนี้ครัวเรือนก็เป็นปัญหาใหญ่ การนำเครื่องมือที่คนคุ้นเคยกลับมาใช้และทำให้มันเวิร์คขึ้น โดยทำให้มั่นใจว่าเงินที่ใส่ลงไปมันคุ้มค่า กระตุ้นให้คนใช้จ่ายมากขึ้นจริง ก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผล และต้องไม่ลืมว่า โครงการนี้เป็นเพียงมาตรการกระตุ้นระยะสั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว” รศ. ดร.อธิภัทร กล่าว
KResearch แนะรัฐพิจารณาลดเงินอุดหนุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงการ พร้อมมุ่งเป้าเฉพาะคนจ่ายภาษี
บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) แนะว่า หากรัฐบาลอยากนำ ‘คนละครึ่ง’ กลับมาใช้อีกครั้ง อาจพิจารณาลดเงินอุดหนุนลง จาก 50% เป็น 20% หรือ 30% เพื่อทำให้เงินหมุนเร็วขึ้น หรือกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น
นอกจากนี้ บุรินทร์ ยังแนะว่า ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งครั้งนี้ก็ควรจำกัดเกณฑ์เฉพาะผู้ที่จ่ายหรือยื่นภาษีเงินได้เช่น ขณะที่ในฝั่งร้านค้าก็ควรเป็นร้านที่จ่ายภาษี หรือได้ยื่น VAT เนื่องจากมองว่า โครงการนี้เป็นจังหวะดีในการขยายฐานภาษี และเป็นหน้าที่ของประชาชนไทยทุกคน ตามรัฐธรรมนูญที่ต้องยื่นภาษี แต่ยังมีผู้คนอีกมากไม่ค่อยยื่นภาษี
ทั้งนี้ ตามการเปิดเผยล่าสุดของ ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า ปัจจุบัน มีผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาราว 11 ล้านคน และมีผู้เสียภาษีเงินได้นี้ราว 4 ล้านคน
ขณะที่ ตามการคำนวณ ‘ล่าสุด’ ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ระบุว่า ในปี 2564 คาดว่า มีแรงงานที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องยื่นแบบจำนวนกว่า 19 ล้านคน จากกำลังแรงงานในระบบทั้งหมดราว 40 ล้านคน
KResearch มองควรออกแบบใหม่ให้ตรงจุด-สร้างประโยชน์ระยะยาว
ขณะที่ ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) กล่าวว่า เนื่องจาก มีงบประมาณค่อนข้างจำกัดอยู่ที่ 25,000 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องออกแบบนโยบายให้เกิดประสิทธิภาพมากกว่าในอดีต โดยเสนอให้ต่อยอดจากโครงการเดิม แต่ยกเลิกแนวคิด ‘One Size Fits All’ หรือการอุดหนุนในสัดส่วน 50:50 เท่ากันทุกคน
พร้อมทั้งแนะว่า รัฐบาลอาจจะออกโครงการเพิ่ม คล้ายการแจกบัตรกำนัล (Voucher)ให้กับคนที่มีรายได้ อย่างที่เคยทำ ช่วงปี 2564 ที่มีเงื่อนไขยิ่งจ่ายยิ่งได้ เพื่อกระตุ้นให้คนที่มีรายได้ไปเพิ่มการใช้จ่าย
อีกประเด็นสำคัญที่ ณัฐพรเน้นย้ำ คือการสร้างและใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล (Database) ของผู้เข้าร่วมโครงการ ทั้งประชาชนและร้านค้า เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมการใช้จ่าย และนำไปออกแบบมาตรการให้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคต
“ในระยะข้างหน้า ไทยจะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณจะมีมากขึ้น ดังนั้น จึงต้อง Target แบบยิงนัดเดียวต้องตรงเป้าเลย” ณัฐพร กล่าว
ขณะที่ เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมในมิติของการกระจายประโยชน์ โดยเสนอว่ารัฐบาลควรมีกลไกสนับสนุนให้โครงการกระจายตัวไปสู่พื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ไม่กระจุกตัวอยู่แค่ในเขตเมืองหรือ Modern Trade เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนไปสู่เศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ต่างจังหวัดได้อย่างแท้จริง
ตรวจสอบประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลโครงการ ‘คนละครึ่ง 1.0’
หลังจากเกิดโควิด รัฐบาลนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ออกโครงการ ‘คนละครึ่ง 1.0’ ออกมาทั้งหมด 5 ระยะ ระหว่างปี 2563 – 2565 โดยใช้เม็ดเงินกว่า 2.3 แสนล้าน ดังนี้
เฟส 1: วงเงิน 30,000 ล้านบาท เป้าหมาย 10 ล้านสิทธิ
เฟส 2: วงเงิน 22,500 ล้านบาท เป้าหมาย 15 ล้านสิทธิ
เฟส 3: วงเงินรวม 126,000 ล้านบาท เป้าหมาย 28 ล้านสิทธิ
เฟส 4: วงเงิน 34,800 ล้านบาท เป้าหมาย 29 ล้านสิทธิ
เฟส 5: วงเงิน 21,200 ล้านบาท เป้าหมาย 26.5 ล้านสิทธิ
โดยตามข้อมูลจาก บล.ทรีนีตี้ ซึ่งอ้างอิงจากผล การศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในอดีต เคยประเมินว่า โครงการคนละครึ่งในระยะที่ 1-3 ซึ่งมีต้นทุนคิดเป็นราว 1.3% ของ GDP สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ GDP ได้ ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท หรือราว 0.5% ของ GDP โดยสามารถเพิ่มกำลังซื้อ และช่วยกระจายรายได้สู่ร้านค้าและประชาชนในระดับภูมิภาคได้
นอกจากนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ยังได้มีการประเมินผลของโครงการคนละครึ่งระยะที่ 1-3 ซึ่งใช้ พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-19 และ พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-19 เพิ่มเติม
โดย รายงานการประเมินผลโครงการภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-19 และ พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-19 เพิ่มเติม ระบุว่า “ในส่วนของโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 และ 2 มีการอนุมัติเงินกู้ตาม พ.ร.ก. ตั้งแต่เดือนตุลาคมและธันวาคม 2563 หรือไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวเกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 21,367.19 และ 1,444.50 ล้านบาทตามลำดับ และเริ่มลดลงในปีถัดไป เพราะมีการใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก. เกือบทั้งหมดแล้วในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 โดยทั้งระยะที่ 1 มีค่าตัวทวีคูณเท่ากับ 0.8938 และระยะที่ 2 มีค่าตัวทวีคูณเท่ากับ 0.8921”
“โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 เพิ่มมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้มากที่สุด เนื่องจาก วงเงินอนุมัติโครงการสูงที่สุดและมีการเบิกจ่ายมากที่สุด อย่างไรก็ตาม โครงการระยะดังกล่าว เริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 2564 หรือไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ดังนั้น ในระหว่างปี 2563 จึงยังไม่เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากโครงการนี้ โดยมีค่าตัวทวีคูณ คือ 0.8975 เท่า” รายงาน ระบุ