ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตลาดไอศกรีมเป็นหนึ่งในสมรภูมิที่มีการแข่งขันสูงและดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ครองตลาดมายาวนาน แบรนด์ท้องถิ่นที่แข็งแรงในแต่ละพื้นที่ รวมถึงผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามาเจาะตลาดด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่าง ทั้งการทำโปรโมชั่นราคา การเพิ่มรสชาติใหม่ๆ ไปจนถึงการใช้แพ็กเกจจิงที่สะดุดตา ทำให้ภาพรวมตลาดไอศกรีมมีสีสันและเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง
แต่ในความดุเดือดนั้น หากมองไปที่ ‘ตลาดพรีเมียม’ กลับยังมีช่องว่างและโอกาสให้กับผู้เล่นที่อยากสร้างแบรนด์ให้แตกต่าง โดยไม่เน้นการแข่งขันด้านราคา แต่เน้นชูจุดขายที่คุณภาพ รสชาติ และประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับ นี่จึงเป็นที่มาของแบรนด์ไทยที่เติบโตขึ้นมาจากแพสชันและความเชื่อว่าไอศกรีมจะสามารถเป็นได้มากกว่าของหวาน
Guss Damn Good แบรนด์ไอศกรีมสัญชาติไทย ที่เกิดมาจากแพสชันของ ‘ระริน ธรรมวัฒนะ’ และ ‘นที จรัสสุริยวงค์’ ที่เจอกันระหว่างเรียนปริญญาโทที่ Babson College เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ทั้งคู่มีความหลงใหลในวัฒนธรรมการกินไอศกรีมของคนบอสตัน แม้เป็นเมืองที่หนาว แต่คนก็ยังออกมาสังสรรค์กันในร้านไอศกรีม
นที จรัสสุริยวงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Guss Damn Good กล่าวว่า หลังจากกลับมาจากต่างประเทศ ได้เริ่มศึกษาตลาดไอศกรีม และลงทุนซื้อเครื่องทำไอศกรีม ตู้เย็น และตู้แช่ พร้อมพัฒนาสูตรไอศกรีม ลองผิดลองถูกกันอยู่นาน จนได้ไอศกรีมรสชาติแรก นั่นก็คือ Don’t Give up #18 ซึ่งเป็นสูตรไอศกรีมที่ไม่ได้เน้นแต่งกลิ่น แต่จะเน้นที่รสชาติของไอศกรีมจริงๆ
“ยอมรับว่า ในช่วงแรกยังไม่รู้วิธีขายและช่องทางการตลาด จึงได้เริ่มจากการนำสินค้าไปออกบูธในตลาดนัด แต่อุปสรรคคือคนไม่รู้จักแบรนด์ ทำให้สินค้าขายไม่ได้เลย จากนั้นได้เปลี่ยนมาฝากขายตามร้านกาแฟ จากนั้นคนเริ่มรู้จักขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มบอกต่อกัน จึงมองไปที่การขยายธุรกิจอย่างจริงจัง และเริ่มก่อตั้งบริษัท กัสส์ แดมน์ กู๊ด จำกัด ขึ้นมาเมื่อปลายปี 2560″
รวมๆ แล้ว Guss Damn Good เปิดให้บริการมากว่า 10 ปี มีร้านกว่า 20 สาขา สร้างยอดขายได้ปีละ 100 ล้านบาท โดยในปี 2569 มีแผนขยายเพิ่มขึ้นอีก 2 สาขา เน้นเปิดในพื้นที่ศูนย์การค้าจังหวัดกรุงเทพฯ และยังเตรียมนำสินค้าเข้าไปวางขายในช่องทางซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ โดยมีเป้าหมายให้แบรนด์ไอศกรีมเป็นมากกว่าขนมหวาน แต่จะเป็นอีกหนึ่งพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์กัน นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมแบรนด์ถึงได้คอลแลปกับแบรนด์อื่นๆ ในตลาด
ยกตัวอย่างที่ Guss Damn Good เคยร่วมงานกับ 9 แบรนด์ดัง สร้างสรรค์ไอศกรีมรสชาติแปลกใหม่ภายใต้แคมเปญ ‘Guss Grocery’ เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา เช่น รสหมูหยอง ส.ขอนแก่น น้ำตาลมะพร้าว, รสซอสบาร์บีคิวพลาซ่า, รสมาม่าต้มยำ, รสน้ำพริกเผาแม่ประนอมไข่เค็ม และรสยาอมแก้ไอตราตะขาบ 5 ตัว ต่อยอดมาถึงปี 2568 ก็ได้มีแคมเปญที่คล้ายๆ กัน โดยสามารถกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกัน ยอมรับว่าตลาดไอศกรีมท้าทายและยากมาก แต่ด้วยความที่แบรนด์ตั้งใจทำให้เป็นสินค้าพรีเมียมตั้งแต่แรก จึงมีคู่แข่งอยู่แค่ 2-3 รายเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับตลาดแมสที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด
แม้จะไม่ได้ศึกษามูลค่าตลาดอย่างจริงจัง แต่มองว่าในตลาดพรีเมียม ยังมีช่องว่างและโอกาสให้กับแบรนด์ Guss Damn Good อยู่มาก ด้วยจุดแข็งของการเป็นไอศกรีมที่มีรสชาติเอกลักษณ์ชัดเจน แม้จะขายในราคาสูง ประกอบกับที่ผ่านมาไม่เคยจัดโปรโมชันลดราคาเลย แต่ก็ได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะวัยทำงานได้เป็นอย่างดี
และอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวใหม่คือการโดดเข้ามาคอลแลบกับ COPPER BEYOND BUFFET บุฟเฟต์นานาชาติระดับพรีเมียม โดยได้นำไอศกรีมรสชาติขายดีเข้ามาร่วมสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้าในร้าน COPPER และยังถือเป็นการทำตลาดให้ลูกค้า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ได้รู้จักแบรนด์ Guss Damn Good มากขึ้นด้วยเช่นกัน