จากสถิติที่ผ่านมา ราคาทองคำมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน และบางปีราคาก็ปรับเพิ่มขึ้นหลังจากผ่านพ้นเทศกาลนี้ไปแล้ว 3 วัน หรือ 1 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจในแต่ละปี
อย่างไรก็ตาม ปีนี้อาจจะแตกต่างออกไป เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากการคลี่คลายของวิกฤตการณ์โรคระบาด แต่ก็มีอีกหลายประเทศที่ยังต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์นี้อยู่ ขณะเดียวกัน ราคาทองคำในตลาดโลกช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีนปีนี้กลับปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่ปรับเพิ่มขึ้น และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า
ทำให้ผู้เชี่ยวชาญในวงการค้าทองคำเองก็ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าราคาทองคำในช่วงเทศกาลตรุษจีน รวมถึงกำลังซื้อทองคำในตลาดจริง จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับอดีต
วรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ทิศทางราคาทองคำในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ (ระยะสั้น) จะมีการปรับฐานเป็นระยะ โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 1,800-1,765 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากระดับราคาปรับฐานมาอยู่โซนนี้ แนะนำให้นักลงทุนเข้าสะสม
สาเหตุที่ราคาทองคำระยะนี้มีการปรับฐาน เนื่องจากเข้าใกล้เทศกาลตรุษจีน ซึ่งประเทศจีนเป็นตลาดรองที่ใหญ่ มีการหยุดการซื้อขายเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาล ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุน หรือบางกองทุนอาจมีการปรับพอร์ตในช่วงนี้ด้วย และเมื่อผ่านพ้นเทศกาลแล้ว ราคาทองคำจึงจะกลับมาเคลื่อนไหวตามกลไกปกติ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยกดดันเรื่องการดำเนินนโยบายของ Fed และการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เช่นกัน
มองตลาดจริงกำลังซื้อยังมี
ทั้งนี้ กำลังซื้อในตลาดจริง (Physical) ในช่วงตรุษจีนยังมีอยู่ และปริมาณการเข้าซื้อน่าจะคึกคักกว่าช่วงเวลาปกติ ซึ่งเป็นธรรมชาติของพฤติกรรมผู้ซื้อทองคำในตลาดจริงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับปีที่ภาวะเศรษฐกิจเป็นขาขึ้นทั่วโลกหรือเศรษฐกิจอยู่สภาวะปกติแล้ว มองว่ากำลังซื้อทองคำในตลาดจริงจะเบาบางเหมือนปี 2563 ที่ผ่านมา โดยอ้างอิงจากสภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) พบว่าความต้องการทองคำปรับตัวลดลง 13.4%
อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อหรือความต้องการทองคำในตลาดจริง ไม่ได้สะท้อนไปสู่ราคาทองคำมากนัก
ลุ้นราคาปีนี้ใกล้จุด All Time High
วรุตกล่าวว่า ทิศทางราคาทองคำจะขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและนโยบายการเงินและการคลังของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยในปัจจุบัน ราคาทองคำค่อนข้างให้น้ำหนักการอ้างอิงกับนโยบายการคลังของประเทศหลักๆ ทั่วโลก ทั้งสหรัฐฯ และยูโรโซน รวมถึงเคลื่อนไหวตามท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เป็นหลัก
“ตอนนี้ราคาทองคำจะขึ้นอยู่กับท่าทีของ Fed ต่อไป โดยเฉพาะเรื่องนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ซึ่งจากข้อมูลล่าสุด Fed ยังคงเดินหน้าซื้อพันธบัตร 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือน สะท้อนว่าปริมาณเงินยังล้นระบบ และจะไหลเข้าสู่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง ขณะที่ทองคำก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันเงินเฟ้อได้เช่นเดิม”
ดังนั้น วายแอลจีฯ จึงคงมุมมองราคาทองคำทั้งปีนี้ที่ระดับ 2,000-2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ราคาทองคำปีนี้จะเคลื่อนไหวเข้าใกล้ระดับ 2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในปี 2020 และเป็นราคา All Time High
ชวนเกาะติดท่าที ‘Fed’
ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก กล่าวว่า มุมมอง ณ ปัจจุบัน เชื่อว่า Fed ยังคงผลักดันการทำ QE ตามที่แสดงท่าทีอย่างชัดเจนมาตลอด และน่าจะทยอยลดหรือยกเลิกการทำ QE ในปีหน้า อย่างไรก็ตาม ท่าทีของ Fed ในทุกการแถลงการณ์จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวราคาทองคำในตลาดโลกอยู่เสมอ
ทั้งนี้ เอ็มทีเอส โกลด์ฯ ยังคงมุมมองเดิมต่อราคาทองคำทั้งปีนี้ที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม จากความผันผวนในตลาดแต่ละสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ตลาดหุ้น ตลาดโลหะเงิน และคริปโตเคอร์เรนซี ทำให้เอ็มทีเอส โกลด์ฯ ปรับมุมมองระยะของราคาทองคำเป็นแกว่งตัว จากเดิมที่มองเป็นขาขึ้น ส่วนระยะกลาง ราคาน่าจะเคลื่อนไหวระดับ 1,825-1,775 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ณัฐพงศ์กล่าวเพิ่มว่า สำหรับความต้องการในตลาดจริงเชื่อว่ายังมีอยู่เช่นเดิม โดยเฉพาะช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งจะมีกำลังซื้อในตลาดจริงค่อนข้างมาก ทั้งซื้อเพื่อส่งมอบเป็นที่ระลึก เพื่อสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว และซื้อเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ
ระยะยาวดอลลาร์อ่อนค่า-ทองคำขาขึ้น
ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เหตุผลหลักมาจากสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่า และผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮงประเมินแนวรับไว้ที่ 1,784-1,764 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,805-1,830 จุด
ขณะที่มุมมองต่อราคาทองคำทั้งปีนี้ มองกรอบ 1,720-2,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนตัวในที่สุด จากปัจจัยเรื่องการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ซึ่ง Fed น่าจะทำอย่างต่อเนื่องตามที่แสดงท่าทีไว้ และระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล