กูรูแนะจัดพอร์ตรับมือเกมยาวด้าน Geopolitical Risk แนะเลี่ยงหุ้นยุโรป และเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นจีน ตลาดเกิดใหม่ และสหรัฐ เน้นกลุ่มหุ้นมูลค่าและหุ้นเติบโตสูงบางตัวที่ราคาร่วงไปเยอะเกินพื้นฐาน ขณะที่หุ้นไทยมีแนวโน้มน่าสนใจมากขึ้นจาก Fund Flow ต่างชาติที่เชื่อว่าจะไหลเข้าต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีธีมเปิดประเทศที่จะช่วยฟื้นภาคท่องเที่ยวและ Domestic Play
จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้เกิดผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยงค่อนข้างมาก จึงควรมีการจัดสรรการลงทุนใหม่ โดยแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นยุโรปในช่วงนี้ หากมีถือครองอยู่ก็ควรจะสลับไปลงทุนในตลาดหุ้นอื่น และแนะนำให้เพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย เช่น จีน และญี่ปุ่น
“ความเสี่ยงจาก Geopolitical Risk จะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงผันผวนมาก แม้ตลาดจะรีแอ็กไปบ้างในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ยังอยู่ก็คือความไม่แน่นอน หรือ Uncertainty Factor ที่จะอยู่กับตลาดอยู่อีกระยะหนึ่ง และจะทำให้อัปไซด์ของสินทรัพย์แคบลง ดังนั้นหากพอร์ตลงทุนถึงเป้าหมายกำไรแล้วก็ควรขายทำกำไร และรอจังหวะเข้าลงทุนใหม่ แต่ไม่แนะนำให้ไล่ราคา เพราะนี่ไม่ใช่จังหวะที่ตลาดจะทำนิวไฮ” จิติพลกล่าว
อีกปัจจัยที่ต้องติดตามต่อคือโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างตลาดซึ่งจะเปลี่ยนไปเมื่อเหตุการณ์บุกยึดยูเครนจบลง โดยต้องติดตามว่าหลังจากนี้รัสเซียจะทำธุรกิจกับชาติตะวันตกอย่างไรต่อไป ซึ่งเมื่อโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างตลาดเปลี่ยน การให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ในทางทฤษฎีแล้วไม่ควรให้เหตุการณ์ระยะสั้นมากระทบกับการจัดพอร์ตการลงทุนระยะยาว ดังนั้นจึงคงคำแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนสำหรับผู้รับความเสี่ยงได้สูง คือลงทุนในตลาดหุ้น 70% และอีก 30% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก
จิติพลกล่าวว่า ทั้งปัจจัยเรื่องนโยบายการเงินของ Fed และการทำสงครามของรัสเซียจะกดดันสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง แต่ผลกระทบจะแตกต่างกันออกไป โดยมองว่าหุ้นในเอเชียมีความน่าสนใจมากกว่าหุ้นยุโรป โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่มีนโยบายสวนทางกับชาติตะวันตก คือมีการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน
โดยกลุ่มหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนคือหุ้นกลุ่ม Value และหุ้นกลุ่ม Global Small Cap เนื่องจากราคาปรับฐานลงมามากกว่า 50% จากปลายปีที่แล้ว ขณะที่อัตราการฟื้นตัวของผลประกอบการยังดีขึ้นได้ต่อเนื่อง
คาดสภาวะสงครามไม่ยืดเยื้อ
วิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ Vice President Market Solution, Private Wealth Management ธนาคารกรุงไทย กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า Political Risk ระหว่างรัสเซียและยูเครนน่าจะไม่ยืดเยื้อนานมาก ดูจากสถานการณ์ที่รัสเซียเข้าไปยึดพื้นที่ในยูเครนหลายเมืองแล้ว รวมถึงท่าที Aggressive ของผู้นำรัสเซียที่ค่อนข้างชัดเจนว่าจะทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ จึงเชื่อว่าการทำสงครามนี้น่าจะจบลงโดยเร็ว
ขณะที่ในมุมการลงทุนนั้น ตลาดหุ้นทั่วโลกซึมซับความเสี่ยงนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเหตุการณ์บุกเข้ายึดเมืองจริง สินทรัพย์เสี่ยงจึงร่วงลงอย่างหนัก และรีบาวด์กลับในช่วงท้ายตลาดทันที จึงเชื่อว่าการปรับฐานรอบนี้น่าจะจบลงแล้ว และจากนี้ปัจจัยในเรื่องของการดำเนินนโยบายของ Fed จะกลับมามีอิทธิพลกดดันตลาดอีกครั้ง
สำหรับการจัดพอร์ตรับมือสถานการณ์เช่นนี้ แนะนำเป็น 2 ส่วน คือส่วนของพอร์ตระยะสั้น (Tactical) แนะนำลงทุนในสหรัฐฯ และยุโรป ในกลุ่มการเงิน และพลังงานทดแทน โดยกลุ่มการเงินจะได้รับอานิสงส์จาก NIM ที่จะเพิ่มขึ้นตามนโยบายปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ขณะที่กลุ่มพลังงานทดแทนนั้น จะได้รับอานิสงส์นโยบายส่งเสริมด้านพลังงานสะอาดจากนานาประเทศทั่วโลก
แนะลุยหุ้นสหรัฐฯ ดัก Fed ขึ้นดอกเบี้ย
สำหรับพอร์ตหลัก (Core Port) แนะนำลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ โดยเน้นกลุ่ม High Quality Growth เนื่องจากพบว่าในทุกรอบการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed นั้น หุ้นกลุ่มนี้จะปรับขึ้นได้มากกว่าตลาดรวมในช่วงเวลา 12 เดือนนับจากการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ตลาดที่แนะนำถัดมาคือตลาดหุ้นจีน เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้นทั้งจากฝั่งธนาคารกลางและรัฐบาลของจีน ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อของจีนไม่สูงมาก และ Valuation ยังถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Semi-Conductor, Renewable Energy และ EV
ส่วนพอร์ตลงทุนระยะยาว (มากกว่า 3 ปี) แนะนำลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่และ Frontier Market คือตลาดหุ้นเวียดนาม เพราะมีความน่าสนใจมากสุดในด้านการเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค
“ธีมลงทุนทั้งในระยะกลางและยาว แนะนำลงทุนในธีมพลังงานทางเลือก EV เนื่องจากได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบายจากหลายๆ ประเทศ ทำให้มีความน่าสนใจเข้าลงทุนทั้งซัพพลายเชน)” วิริยะชัยกล่าว
ลุ้นหุ้นไทย ‘บวกต่อ’ อานิสงส์เปิดเมือง
สำหรับตลาดหุ้นไทย ประเมินว่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องจากปัจจัยบวกเรื่องการเปิดประเทศในอนาคตที่จะหนุนให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัว มีนักท่องเที่ยวกลับมาเหมือนเดิมโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจคือกลุ่มธนาคาร และค้าปลีก
ปิยะภัทร์ ภัทรภูวดล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ความเสี่ยงด้าน Geopolitical ยังคงมีอิทธิพลต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวลดลงตอบรับความเสี่ยงดังกล่าวไปแล้วก็ตาม เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าความเสี่ยงนี้จะจบลงอย่างไร และเมื่อไร
นอกเหนือจากการพิพาทกันระหว่างยูเครนและรัสเซียแล้ว ยังมีคู่ขัดแย้งอย่างสหรัฐฯ และจีนที่น่าจะทำสงครามการค้ากันอีกรอบในกรณีที่ปัญหาโควิดเริ่มคลี่คลายแล้วอีกด้วย
เชื่อ Fund Flow ไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนื่อง
ท่ามกลางความเสี่ยงดังกล่าว ยังแนะนำลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง 30-35% โดยในพอร์ตหุ้นแนะนำลงทุนตลาดหุ้นไทย 50% โดยเฉพาะ Passive Fund และหุ้นขนาดใหญ่ที่จะมี Performance ที่ดีต่อเนื่องจากการไหลเข้าของ Fund Flow ขณะที่หุ้นต่างประเทศนั้น มองโอกาสในตลาดหุ้นฮ่องกงและหุ้นสหรัฐฯ
ส่วนที่เหลือของพอร์ต แนะนำลงทุนใน Money Market 15% ตราสารหนี้ 30-35% และที่เหลือลงทุนใน REIT ในประเทศโ ดยเน้นลงทุนระยะยาวใน REIT ค้าปลีก
“ส่วนทองคำและน้ำมัน ตอนนี้ยังประเมินแนวโน้มในระยะยาวค่อนข้างยาก เพราะมีความผันผวนตามสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงผันผวนตามเงินเฟ้ออีกด้วย จึงไม่แนะนำลงทุนในระยาว เพราะราคาตอนนี้ผันผวนมาก แต่สามารถ Trading ดิ้งได้”
ขณะที่ สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า Geopolitical Risk จะเป็นความเสี่ยงระยะยาวที่กดดันราคาสินทรัพย์ต่างๆ โดยนอกจากกรณีความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนแล้ว ยังมีความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง แต่น่าจะเป็นในรูปแบบของสงครามการค้าเหมือนที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
สำหรับกรณีของรัสเซียแและยูเครนนั้น ประเมินว่าไม่มีใครได้ประโยชน์ มีแต่เสมอตัวและเสียประโยชน์ โดยในการทำสงครามครั้งนี้ เห็นได้ชัดเจนว่ารัสเซียเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี สะท้อนจากเงินสำรองต่างประเทศที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ก็ทำให้รายได้ของรัสเซียเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ขณะที่ผู้เสียประโยชน์คือยุโรป คือต้องบริโภคพลังงานในราคาที่สูงขึ้น โดยเฉพาะราคาแก๊สที่แพงขึ้น 4 เท่า และน่าจะกระทบต่อ GDP ยุโรปประมาณ 0.8% ปีนี้
“การเมืองระหว่างประเทศทางฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทยให้น้ำหนักค่อนข้างเยอะ แต่ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงก็ตอบรับข่าวไปมากแล้ว และรีบาวด์กลับขึ้นมาแล้ว เนื่องจากปฏิบัติการของรัสเซียไม่มีอะไรนอกเหนือคาดการณ์” สรพลกล่าว
โดยตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ตลาดหุ้นยุโรปปรับลดลงมาแรงสุด รองมาคือตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ตลาดหุ้นเอเชียกลับเพิ่มขึ้นสวนทาง รวมถึงตลาดหุ้นไทย สาเหตุหนึ่งมาจากประเทศไทยมีสัดส่วนการค้ากับรัสเซียค่อนข้างน้อย ขณะที่พื้นฐานเศรษฐกิจในประเทศกำลังฟื้นตัว เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง
ดังนั้นในการจัดกลยุทธ์ลงทุนรับความเสี่ยงดังกล่าว แนะนะลงทุนในหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่น จากปัจจัยบวกด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและหุ้นไทย เพื่อรับปัจจัยบวกจากเงินทุนต่างชาติ
สำหรับกลยุทธ์หุ้นไทย แนะนำกลุ่มโรงพยาบาลที่จะเป็นหลุมหลบภัยได้ดี และกลุ่มการเงินที่กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง รวมถึงกลุ่ม Growth Stock บางตัวที่ราคาปรับลดลงมาสู่ระดับที่น่าสนใจ
“สำหรับตลาดทองคำปีนี้ ยังเชื่อว่าสามารถ Trading ได้ โดยฝ่ายวิจัยมองกรอบราคาที่ 1,880-1,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ตลาดคริปโตไม่แนะนำลงทุนในปีนี้ ส่วนตลาดน้ำมัน ประเมินว่าราคาที่เกินระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนั้นสูงเกินดีมานด์ซัพพลายปกติไปแล้ว” สรพลกล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP