หลังจาก บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ปิดดีลรับซื้อหุ้น บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) จนขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 42.25% พร้อมกับส่งทีมเข้าไปนั่งเป็นกรรมการ (บอร์ด) อีก 4 คน คำถามคือ แผนงานหลังจากนี้ GULF จะเข้าไปมีส่วนร่วมใน INTUCH เพื่อสร้าง Synergy ระหว่างกันอย่างไร
ยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า บริษัทมีนโยบายสำคัญที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของมูลค่าทรัพย์สิน (Optimize Asset Value) ในทั้ง 2 บริษัท โดยเบื้องต้นมีแผนสร้างผลประโยชน์จากการทำงานร่วมกันที่จะเกิดขึ้น (Potential Synergy Benefit) ในอนาคต กล่าวคือ การเตรียมพร้อมรองรับโอกาสจากการที่รัฐบาลมีนโยบายการเปิดเสรีซื้อขายไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
โดยบริษัทมีแผนนำดิจิทัลแพลตฟอร์มของ INTUCH เช่น ระบบ Data Center, Cloud Computing มาต่อยอดการเติบโตในธุรกิจไฟฟ้าของ GULF โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มคือ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ที่มีฐานลูกค้าผู้ใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือกว่า 43 ล้านเลขหมาย
การต่อยอดดังกล่าว เช่น การซื้อขายไฟฟ้าด้วยระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) กับมิเตอร์อัจฉริยะ (Smart Meter) รวมถึงเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ซึ่งสามารถที่จะขายไฟฟ้าตรงจากทาง GULF ที่ผลิตให้กับฐานลูกค้าของ ADVANC ที่มีจำนวนมากในระบบการซื้อขายไฟฟ้ากันเองระหว่างเอกชนกับเอกชน (Peer to Peer Energy Trading) ดังนั้นในภาพรวมจึงถือเป็นตลาดที่ดีและมีโอกาสการเติบโตที่สูง
ส่วนประเด็นบวกที่ชัดเจนจากการที่ GULF เข้าลงทุนใน INTUCH ข้อแรกคือ การกระจายความเสี่ยงฐานธุรกิจเดิมคือ กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าและธุรกิจระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ทั้งทางด่วนพิเศษกับท่าเรือขนส่งสินค้า เพื่อเชื่อมสู่กลุ่มธุรกิจ Digital Infrastructure
ข้อที่ 2 เป็นการเสริมสร้างการเติบโตของกำไรให้กับ GULF ด้วย เนื่องจาก INTUCH มีกำไรที่ต่อเนื่องทุกปีในระดับมากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ทำให้กำไรของ GULF ที่รับรู้ตามสัดส่วนการถือหุ้นซึ่งมีความสม่ำเสมอ ข้อที่ 3 คือ การที่ GULF จะมีเงินปันผลรับส่วนเพิ่มเข้ามาจาก INTUCH ที่มีการจ่ายเงินปันผลรวมเฉลี่ยย้อนหลังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่มากกว่า 8,500 ล้านบาทต่อปี
โดยการจ่ายปันผลของ INTUCH ที่ผ่านมามีสัดส่วนต่อกำไร (Dividend Payout) ในแต่ละปีอยู่ที่ 72-75% ทำให้ GULF มีโอกาสได้รับเงินปันผลจาก INTUCH อยู่ที่ 3,500-4,500 ล้านบาทต่อปี ส่งผลให้ปัจจุบันหลัง GULF เข้าถือหุ้น INTUCH จะรับกำไรจากธุรกิจใหม่คือ กลุ่มดิจิทัลมีสัดส่วนประมาณ 30% ของกำไรรวมของกลุ่ม ส่วนที่เหลือยังเป็นกำไรที่มาจากกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 70%
อย่างไรก็ดี สัดส่วนธุรกิจของ GULF ในอนาคตยังเป็นธุรกิจไฟฟ้า เนื่องจากในปี 2568 บริษัทจะมีโครงการใหม่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ขนาดกำลังผลิต 5,000 เมกะวัตต์ (MW) สร้างเสร็จทยอยจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ปี 2568 ซึ่งจะเริ่มทยอยรับรู้กำไรและรายได้เข้ามาทันที ส่งผลให้ในปี 2568 บริษัทจะมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 75% ขณะที่กำไรธุรกิจกลุ่มดิจิทัลจะมีสัดส่วนลดลงเหลือประมาณ 20% และกำไรอีกสัดส่วน 5% จะมาจากโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากนี้บริษัทเคพีเอ็มจี ผู้สอบบัญชี (Auditor) ของบริษัท อยู่ระหว่างการพิจารณาว่า หลังจาก GULF ถือหุ้นใหญ่ใน INTUCH แล้วจะมีการสรุปนำงบฯ การเงินไตรมาส 4/64 ของบริษัท จะมีการนับรวมงบการเงินของ INTUCH มารวมกับงบการเงินของ GULF หรือจะมีการบันทึกกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งจะมีข้อสรุปในประเด็นนี้ออกมาได้ช่วงปลายไตรมาส 3 ปี 2564
“ตอนนี้ GULF ไม่มีแผนซื้อหุ้น INTUCH เพิ่มแล้ว เพราะบริษัทกำหนดเงื่อนไขไว้ว่า จะซื้อหุ้น INTUCH ในราคาไม่เกินหุ้นละ 65 บาท แต่ราคาตอนนี้ขึ้นไปเกินหุ้นละ 80 บาทแล้ว และคิดว่าปัจจุบันที่เราถือหุ้นใน INTUCH ที่ระดับ 42.25% คิดว่าเป็นระดับเหมาะสมแล้ว”
แหล่งข่าวผู้บริหาร INTUCH กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า หลังจากที่ GULF เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ในบริษัท ก็ได้หารือนอกรอบกับผู้บริหารของทาง SINGTEL ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 เพื่อดูว่าจะสามารถทำ Synergy ร่วมกันอย่างไรได้บ้าง อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของความร่วมมือคงต้องรอให้ทาง GULF เข้ามาร่วมกำหนดนโยบายการทำธุรกิจของ INTUCH ก่อน หลังจากนั้นภาพของความร่วมมือกับ SINGTEL จึงจะมีความชัดเจน
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP