เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) รายงานกำไรสุทธิ 4Q66 อยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 42%QoQ เพราะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่กำไรปกติอยู่ในระดับทรงตัว QoQ และเพิ่มขึ้น 17%YoY ส่งผลทำให้กำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 1.49 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 30%) และกำไรปกติอยู่ที่ 1.56 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 29%) ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนกำไร 4Q66 คือ หน่วยผลิตไฟฟ้าใหม่ของ GULF PD (โรงไฟฟ้า IPP) แต่ถูกลดทอนโดยยอดขายให้ลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง ส่วนแบ่งกำไรก็เพิ่มขึ้น 57%YoY และ QoQ โดยหลักๆ ได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH
ด้านรายได้จากโรงไฟฟ้าก๊าซเพิ่มขึ้น 11%YoY เนื่องจากกำลังการผลิตดำเนินงานของโรงไฟฟ้า IPP (GULF PD) เพิ่มขึ้น โดยหน่วยที่ 1-2 ของ GULF IPP เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคม 2566 และตุลาคม 2566 ซึ่งช่วยหนุนให้ปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้ กฟผ. เพิ่มขึ้น 4.5%YoY (แม้ลดลง 3.7%QoQ เพราะความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง) ทั้งนี้ แม้ปริมาณการขายไฟฟ้าจากหน่วยที่ 2 เพิ่มขึ้น แต่รายได้จากโรงไฟฟ้าก๊าซอยู่ในระดับทรงตัว QoQ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจากลูกค้าอุตสาหกรรมลดลงจากช่วงโลว์ซีซัน โดยปริมาณการขายลดลง 6.4%QoQ และราคาขายไฟฟ้าลดลง 11.2%QoQ เพราะค่า Ft ลดลง
รายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียนได้แรงหนุนจากโครงการใหม่ โดยรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (ไม่รวม BKR2) เพิ่มขึ้น 32.3%YoY และ 19.2%QoQ นำโดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (ภายใต้ GULF1) รายได้จากการให้บริการก่อสร้างแก่ลูกค้าอุตสาหกรรมและการบริหารจัดการขยะที่โครงการ CMWTE กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจาก 565 MW (สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566) สู่ 4,486 MW (สิ้นเดือนธันวาคม 2566) หลังจากที่มีการลงนามใน PPA สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยเพิ่มเติม บวกกับการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งในสหราชอาณาจักร โครงการเหล่านี้จะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2567-2576
ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้น QoQ ส่วนแบ่งกำไรโดยรวมจากบริษัทร่วมและการร่วมค้า (ไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 750 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 56.6%YoY และ 56.9%QoQ หากตัดผลกระทบของกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนออกไป ส่วนแบ่งกำไรปกติเพิ่มขึ้น 100.3%YoY และ 14.4%QoQ หลักๆ ได้แรงหนุนจาก INTUCH (เพิ่มขึ้น 82%YoY, เพิ่มขึ้น 9%QoQ)
นอกจากนี้ Jackson Generation ในสหรัฐฯ ก็บันทึกกำไรเพิ่มขึ้น 78%QoQ แม้จะถูกลดทอนลงบ้างโดยขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากตราสารอนุพันธ์ การร่วมค้าอื่นๆ รายงานกำไรลดลง QoQ จากอุปสงค์ที่ต่ำตามฤดูกาล
กระทบอย่างไร:
หลังรายงานผลประกอบการวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 ราคาหุ้น GULF ปรับขึ้น 0.58% สู่ระดับ 43.25 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 0.07% สู่ระดับ 1,386.27 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
InnovestX Research คาดว่ากำไรปกติ 1Q67 ว่าจะเพิ่มขึ้น โดยได้แรงหนุนจากโรงไฟฟ้า IPP อีกหนึ่งแห่งคือ GPD ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 2,650 MW หน่วยที่ 3 ของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ (662.5 MW) จะเริ่มดำเนินการในเดือนมีนาคม 2567 หลังจากสองหน่วยแรกเริ่มดำเนินการไปแล้วในปี 2566 นอกจากนี้ส่วนแบ่งกำไรจาก Jackson Generation ก็จะเพิ่มขึ้น QoQ จากอุปสงค์ที่สูงขึ้น ซึ่งจะหนุนให้ราคาขายไฟฟ้าในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH จะช่วยสนับสนุนกำไรปี 2567 อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากส่วนแบ่งกำไรที่มีเสถียรภาพปีละ 5 พันล้านบาท±
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ยังคงคำแนะนำ Outperform สำหรับ GULF โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 63 บาทต่อหุ้น เพราะกำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากการมีกำลังการผลิตดำเนินงานเพิ่มเติมและส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ รวมถึง INTUCH และ THCOM จะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ GULF ยังประกาศจ่ายเงินปันผลปี 2566 ที่อัตรา 0.88 บาทต่อหุ้น (XD: วันที่ 28 กุมภาพันธ์) คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 69% เพิ่มขึ้นจาก 62% ในปี 2565
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการใหม่ต่ำกว่าคาด แต่ผลงานที่ดีเยี่ยมของ GULF ในการพัฒนาโครงการให้แล้วเสร็จตามกำหนดและเป็นไปตามงบประมาณที่วางไว้จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ รวมถึงยอดขายไฟฟ้าและไอน้ำของโครงการโรงไฟฟ้า SPP ให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอและต้นทุนเชื้อเพลิงสูง รวมทั้งความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน