เกิดอะไรขึ้น:
วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564 บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) รายงานกำไรสุทธิ 1Q64 ที่ 1.6 พันล้านบาท ลดลง 11.5%QoQ แต่พลิกจากขาดทุนสุทธิ 413 ล้านบาทใน 1Q63 หากตัดรายการพิเศษออกไป กำไรปกติ 1Q64 อยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 158%YoY และ 93%QoQ
โดยได้รับการสนับสนุนจากรายได้เงินปันผลจาก บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) จำนวน 638 ล้านบาท รวมถึงยังสะท้อนส่วนแบ่งกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานในทะเล BKR2 ในเยอรมนี ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท PTT-NGD (GULF ถือหุ้น 40%) และการดำเนินงานเต็มไตรมาสของ GCD ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลที่เริ่มเดินเครื่องในเดือนมีนาคม 2563
ยอดขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทรงตัว YoY โดยปริมาณการขายให้ลูกค้าอุตสาหกรรม IU เพิ่มขึ้น 4%YoY และ 3%QoQ เนื่องจากการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องของโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 12 โรง และความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้นจากลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผลประกอบการของโรงไฟฟ้ากลุ่มนี้ช่วยสนับสนุนต่อกำไรปกติของ GULF ให้ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนก๊าซที่ลดลง
ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนของ GJP (GULF ถือหุ้นอยู่ 40%) เพิ่มขึ้น 5%YoY และ 50%QoQ ซึ่งเกิดจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้นจากลูกค้าอุตสาหกรรมและการหยุดซ่อมบำรุงน้อยลง
รายได้จากการขายของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนลดลง 13.2%QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลในเยอรมนี ซึ่ง Capacity Factor ลดลงจาก 52.7% ใน 4Q63 สู่ 41% ใน 1Q64 ขณะที่รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามเพิ่มขึ้น 2%QoQ แต่ลดลง 11%YoY จากการจำกัดปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าชั่วคราว ซึ่งส่งผลทำให้ปริมาณการขายลดลง 8%YoY โดยมีสาเหตุมาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงเพราะสถานการณ์โควิด-19
กระทบอย่างไร:
วันนี้ (17 พฤษภาคม 2564) ราคาหุ้น GULF เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.25-33.25 บาท และปิดที่ระดับ 32.75 บาท เท่ากับราคาปิดวันก่อนหน้า
มุมมองระยะสั้น:
กำไรปกติ 1Q64 ของ GULF ที่ประกาศ คิดเป็นสัดส่วน 29% ของประมาณการกำไรเต็มปี 2564 ของ SCBS โดยหลักๆ ได้ปัจจัยสนับสนุนจากรายเงินปันผลจาก INTUCH ขณะที่แนวโน้มกำไร 2Q64 ยังเติบโตต่อเนื่องโดยได้รับการสนับสนุนจากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิต 662.5 MW เต็มไตรมาส รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานลมเวียดนามเฟสแรกกำลังการผลิต 30 MW จะเริ่มจ่ายเข้าระบบในเดือนมิถุนายน 2564
มุมมองระยะยาว:
SCBS คาด แนวโน้มกำไรปี 2564 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด 90%YoY สู่ระดับ 8.1 พันล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น หลักๆ มาจากโครงการ BKR2 (โรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล) และโครงการ IPP แห่งใหม่คือ Gulf SRC
ทั้งนี้ ในระยะ 10 ปีข้างหน้า GULF วางแผนขยายธุรกิจและเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในพอร์ตของบริษัทสู่ 30% ภายในปี 2573 เทียบกับสัดส่วนเพียง 6% ในปัจจุบัน นอกจากนี้การได้ใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper) จะเป็นใบเบิกทางให้บริษัทในการเพิ่มอำนาจในการต่อรองสำหรับธุรกิจในประเทศ
ขณะที่โครงการ LNG to Power ในภูมิภาคนี้ จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของบริษัทในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าและฐานที่แข็งแกร่งในประเทศเพื่อนบ้าน