ผลกระทบจาก Reciprocal Tariff ของ โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความผันผวนกับทั้งภาคการค้าและการลงทุนทั่วโลก ไม่เว้น กบข. ก็ต้องมีแผนรับมือ อีกทั้งเตรียมทำแผนลงทุนระยะยาวฉบับใหม่ และเตรียมเดินหน้าการลงทุนโครงการ Senior Housing ในต่างประเทศรับกับเทรนด์สังคมผู้สูงวัย
ทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า เทรนด์ของทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย กำลังเข้าสังคมผู้สูงวัย โดยประเทศจีนที่มีจำนวนประชากรประมาณ 1,400 ล้านคน ที่มีกลุ่มผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป สัดส่วนประมาณ 15-16% ของประชากรทั้งหมด
ขณะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนผู้ที่มีอายุเกิน 60 ขึ้นไปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีสัดส่วนของประชากรที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 28% จำนวนประชากรทั้งหมด
อีกทั้ง กบข. ที่ปัจจุบันมีข้าราชการที่เป็นสมาชิกจำนวนประมาณ 1.2 ล้านคน ก็มีโอกาสที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยในอัตราเดียวกันกับของประเทศไทย
เปิดแผนลงทุนโครงการ Senior Housing
ดังนั้น กบข. จึงได้เริ่มศึกษาการลงทุนในโครงการที่อยู่อาศัยหลังเกษียณ (Senior Housing) มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตของสังคมสูงวัยในอนาคต ซึ่งจากสถิติในปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุทั่วโลก มีมูลค่าประมาณ 1.90 แสนล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3.75 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2573 โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลางคาดว่า จะเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุด ที่ 11.2% โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 8.4%
จากการศึกษาข้อมูลพบว่าโครงการ Senior Housing สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR ) เฉลี่ยที่ดี ประมาณ 8-12%
โดย กบข. มีความสนใจการลงทุนในต่างประเทศ เช่น ในจีน, ออสเตรเลีย, หรือยุโรป
สำหรับ Senior Housing ถือเป็นอีกสินทรัพย์ลงทุนใหม่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่จัดอยู่ในกลุ่มสินทรัพย์ลงทุนทางเลือก ซึ่งเดิม กบข. มีการลงทุนทั้งในโครงการโรงแรม โดยมีการร่วมทุนในโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท ภูเก็ต, อาคารสำนักงานให้เช่า จำนวน 3 โครงการ
ภาพ: รวมการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ กบข.
แผนการลงทุนในโครงการ Senior Housing ของ กบข. คาดว่าจะมีความชัดเจนเริ่มเห็นการลงทุนในต่างประเทศภายในสิ้นปี 2567 โดยนโยบายการลงทุนในโครงการ Senior Housing ที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว สามารถสร้างผลตอบแทนกำไรจากการลงทุนเข้ามาได้ทันที
โดยรูปแบบการลงทุนจะทำในรูปแบบของร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญ หรือลงทุนผ่านกองทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน จากนั้นในอนาคตก็มีแผนต่อยอดการลงทุนโครงการ Senior Housing ในประเทศไทยด้วย ซึ่งกบข.กำลังศึกษาแนวทางการให้สมาชิกที่มีความต้องการเข้าอาศัยในศูนย์ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุด้วย
“ปัจจุบันพอร์ตลงทุนของ กบข. มีการลงทุนใน Private Equity ในต่างประเทศซึ่งอาจมีการลงทุนในโรงพยาบาล, หอพักนักศึกษา (Student Housing) ในต่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องจับตา เพราะเป็นเทรนด์ของกองทุนบำนาญต่างประเทศขนาดใหญ่ก็กำลังหันมาให้ความสนใจลงทุนสินทรัพย์กลุ่มนี้ด้วย เช่น โครงการ Oak Tree Retirement Villages , Keyton Retirement Villages ที่ดำเนินในประเทศออสเตรเลีย” ทรงพลกล่าว
ภาพ: แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยผู้สูงวัยทั่วโลก
กบข. ได้เข้ามาทำการศึกษาดูงานโครงการ Senior Housing ของกลุ่ม Keppel ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ซึ่งดำเนินธุรกิจที่มีความหลากหลายสัญชาติสิงคโปร์ ประกอบธุรกิจในเครือหลายแห่งที่เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, โครงสร้างพื้นฐาน และการจัดการสินทรัพย์ ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ ได้มีการลงทุนในโครงการ Senior Housing ในประเทศจีน คือ โครงการ Sindora Living ซึ่งเป็นโครงการ Senior Housing ในเมืองหนานจิง ซึ่งเริ่มเปิดดำเนินการในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา
ด้าน Nathaniel Farouz CEO Sindora Living กล่าว ว่า โครงการ Sindora Living มีขนาดของพื้นที่โครงการ ประมาณ 7-8 ไร่ มีจำนวนเตียงสามารถรองรับผู้เข้าพักอาศัยได้จำนวน 400 เตียง มีราคาค่าบริการเป็นรายเดือนอยู่ที่เฉลี่ย 15,000 หยวน หรือประมาณ 69,000 บาท ต่อคนต่อเดือนโดยมีบริการให้กับผู้พักอาศัยแบบ Full Service ทั้งการทำความสะอาดที่พัก, บริการอาหาร, บริการทางการแพทย์, ห้องออกกำลังกาย รวมทั้งบริการสันทนาการในรูปแบบอื่นๆ
อีกทั้งมีการวางระบบให้โครงการกับพักอาศัยสามารถใช้ชีวิตเชื่อมต่อกับบริเวณโดยรอบชุมชนได้ เช่น การนำคอนเสิร์ตมาจัดในโครงการ Sindora Living อีกด้วย
สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มาพักอาศัยสักประมาณ 80% จะเป็นประชากรในเมืองในเมืองหนานจิง ซึ่งเป็นปกติของภาพรวมธุรกิจ Senior Housing ที่ผู้มาพักอาศัยมักจะเป็นประชากรของเมืองนั้นที่โครงการเข้าไปเปิดดำเนินการ ส่วนอีกสัดส่วนประมาณ 20% จะเป็นผู้พักอาศัยจากเมืองอื่นๆ
ทั้งนี้ถึงปัจจุบันหลังโครงการเริ่มเปิดการดำเนินการตั้งแต่กลางปี 2567 มีผู้เข้ามาพักอาศัยแล้วจำนวน ประมาณ 100 เตียง
ภาพ: โครงการ Sindora Living ซึ่งเป็นโครงการ Senior Housing ในเมืองหนานจิง
ปรับพอร์ตลงทุนระยะสั้นถี่ขึ้นรับมือภาษีทรัมป์
ทรงพล กล่าวต่อถึง กลยุทธ์ในการบริหารพอร์ตลงทุนของ กบข. เพื่อรับมือความผันผวนจากผลกระทบของนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น โดยยอมรับว่าจากช่วงปีนี้ถึงปัจจุบันพอร์ตลงทุนระยะสั้นของได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ไม่ปกติ (Tactical Asset Allocation : TAA) มีความถี่สูงขึ้น
โดยมีการปรับพอร์ตการลงทุนระยะสั้นไปแล้วจำนวน 3 ครั้ง เพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว เปรียบเทียบกับทั้งปี 2567 ที่มีการปรับพอร์ต TAA ไปจำนวน 3 ครั้ง ดังนั้นในทั้งปี 2568 จากความไม่แน่นอนที่ยังสูง จึงมีโอกาสที่การปรับพอร์ต TAA ของ กบข. อาจจะมีความถี่ที่สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบจากปี 2567
“ยกตัวอย่างสมมติพอร์ตลงทุนของ กบข. แต่ละเดือน หากสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจแบบกะทันหัน ส่งผลให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เราเคยคาดการณ์ไว้ พอร์ตการลงทุนระยะสั้นก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนจากหน้าตาปัจจุบัน ซึ่งเราเรียกว่าการทำTactical Asset Allocation ซึ่งปัจจุบันพอร์ตลงทุนของ กบข.มีการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 6% โดยลดสัดส่วนของหุ้นโลก เพื่อใช้ปิดความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นในระหว่างทางของพอร์ต หลังเริ่มเห็นความเสี่ยงที่คาดการณ์ไม่ได้ แต่หากเรื่องภาษีสหรัฐฯ ตกลงกันได้ก็ต้องปรับพอร์ตใหม่ด้วยเช่นกัน ทำให้พอร์ตลงทุนของ กบข. จากช่วงต้นปีนี้ถึงปัจจุบันยังมีผลตอบแทนที่ยังเป็นบวกสามารถเอาชนะตลาดที่ติดลบได้” ทรงพลกล่าว
อย่างไรก็ดี ประเมินว่าปัจจัยสถานการณ์ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ หากเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นก็มีโอกาสในอนาคตก็มีโอกาสปรับลดสัดส่วนการลงทุนในทองคำลงจากระดับปัจจุบันเพื่อมาเพิ่มสัดส่วนของตราสารทุนโลก
ดังนั้นหลังทรัมป์ได้ขยายกำหนดเส้นตายในการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ออกไป 90 วัน ยังมีความเชื่อว่า สถานการณ์ดังกล่าวมีโอกาสจะคลี่คลายลงในทางใดทางหนึ่ง เพราะมองว่าสหรัฐฯ มีความจำเป็นต้องให้สถานการณ์ดังกล่าวต้องคลี่คลายลง เพราะนโยบายภาษีตอบโต้ที่เคยประกาศไว้ อาจใช้ปฏิบัติไม่ได้จริง หลังจากเริ่มเห็นสัญญาณการออกมาประท้วงนโยบายนี้ของประชาชนอเมริกัน รวมทั้งคู่ค้าของสหรัฐฯ บางประเภทไม่เห็นด้วยกับการเจรจากับสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ยังมีมุมมองว่าในหุ้นไทยในหลายอุตสาหกรรมสามารถให้ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ค่อนข้างสูงเริ่มมีความน่าสนใจ ส่งผลให้มีนักลงทุนเริ่มทยอยกลับมาลงทุนในหุ้นบางบริษัทหรือในบางอุตสาหกรรม
สำหรับในหุ้นไทยปัจจุบันเพิ่มสัดส่วนเป็น 6% จากปีก่อน 3% ของพอร์ต หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลง โดยเน้นลงทุนในหุ้นบนดัชนี SET50 Free Float ซึ่งจะเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวซึ่งราคาปรับตัวลดลงค่อนข้างมากที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และมีการจ่ายเงินปันผลที่สูง
โดยการปรับกลยุทธ์ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/2567 จากเดิมที่เคยลงทุนบนดัชนี SET50 สำหรับกลุ่มหุ้นที่มีโอกาสเติบโต และ มีโอกาสได้รับเงินปันผลที่สูง อีกทั้ง สามารถลงทุนได้ในราคาที่ถูก หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เช่น หุ้นกลุ่มโรงแรม , ท่องเที่ยว และโรงพยาบาล
“สิ่งที่สำคัญที่สุดภาพการลงทุนจากนี้ไปถึงสิ้นปีนี้จะมีความผันผวนแบบนี้เยอะมากครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในรอบตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งที่จะมีปัจจัยที่เราคาดไม่ถึงมากกว่าเดิมอีกเยอะ เพราะปัญหาความผันผวนครั้งนี้เกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผล เปรียบเทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้งกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่เรารู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร” ทรงพลกล่าว
ภาพ: ทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการ กบข.
เร่งทำแผนลงทุนระยะยาวฉบับใหม่ จ่อเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ทางเลือก
ขณะที่ความคืบหน้าของแผนกลยุทธ์การลงทุนระยะยาว (Strategic Asset Allocation: SAA) ฉบับใหม่ เพื่อใช้กำหนดนโยบายพอร์ตลงทุนของเงินสมาชิกปัจจุบันที่มีมูลค่าประมาณ 4.9 แสนล้านบาท อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดทำแผนที่จะกำหนดกรอบนโยบายการลงทุนระหว่างปี 2569-2571 คาดว่าจะแล้วเสร็จ และ ได้ข้อสรุปภายในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคมนี้
ทั้งนี้ เบื้องต้น SAA มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนพอร์ตลงทุนกลุ่มสินทรัพย์ทางเลือกเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันของพอร์ตลงทุนรวม เนื่องจากปัจจุบันมีสินทรัพย์ลงทุนใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายมากเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้นซึ่งปัจจุบัน กบข. พร้อมทั้งมีโอกาสจะเพิ่มจำนวนประเภทของสินทรัพย์ลงทุนจากปัจจุบันที่มีจำนวน 18 ประเภท โดยที่ผ่านมาได้เริ่มทยอยลงทุนผ่านกองทุนที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกกลุ่มใหม่ๆ เช่น กลุ่มเทคโนโลยี, ดาต้าเซ็นเตอร์, พลังงานหมุนเวียน, โรงพยาบาล เพื่อความหลากหลาย รวมถึงกระจายความเสี่ยงการลงทุน และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น
อีกทั้ง SAA ใหม่ดังกล่าวจะมีการแยกประเภทสินทรัพย์ทองคำออกมาจากกลุ่มสินทรัพย์ลงทุนทางเลือกออกมา โดยแยกทองคำออกมาเป็นกลุ่มสินทรัพย์ประเภทใหม่ เพราะทองคำถือเป็นสินทรัพย์สามารถช่วยปิดความเสี่ยงจากปัจจัยที่ไม่ได้คาดไว้ได้ค่อนข้างดี ซึ่งเดิมทองคำจัดอยู่ในกลุ่มของสินทรัพย์ทางเลือก จากสิ้นปี 2567 ที่มีสินทรัพย์ทางเลือกอยู่ที่ 20.62% ของพอร์ตลงทุนรวม
โดยจากสถานการณ์กำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่มีความรุนแรง ส่งผลให้ในปี 2567 ที่ผ่านมาทองคำสามารถสร้างผลตอบแทนได้ประมาณ 25% อีกทั้ง จากต้นปีนี้ถึงปัจจุบันพอร์ตลงทุนทองยังให้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณ 20%
ภาพ: สัดส่วนสินทรัพย์ลงทุนของ กบข.
ก่อนหน้านี้ ทรงพล เคยให้ข้อมูลว่า นโยบาย SAA ฉบับใหม่ของ กบข. ที่จะกำหนดกรอบนโยบายการลงทุนระหว่างปี 2569-2571 ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ลงจากเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับนิยามของสินทรัพย์ของ กบข. ใหม่ จากเดิมที่กำหนดกลุ่มสินทรัพย์ออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ Risky Assets กับ Safety Assets เปลี่ยนมาเป็น Growth Assets กับ Defensive Assets โดยเห็นว่าปัจจุบันการลงทุนในตราสารหนี้ แม้เป็นการลงทุนกลุ่ม Investment Grade มีความเสี่ยงสูงเช่นกันจากประเด็นการผิดชำระหนี้ และยังเป็นตราสารที่ไม่มีหลักค้ำประกัน
ส่วน SAA ฉบับใหม่จะให้น้ำหนักกับปัจจัยสำคัญ ดังนี้
- ประเภทสินทรัพย์ลงทุน
- การเติบโตประเทศของสินทรัพย์ที่จะเข้าไปลงทุน
- ความเสี่ยง
- อัตราแลกเปลี่ยน
โดย ณ สิ้นปี 2567 กบข. มีขนาดกองทุนใหญ่ขึ้น 1.06 แสนล้านบาท รวมมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (รวมเงินสำรอง) ที่ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท สามารถสร้างผลตอบแทนแผนสมดุลตามอายุ (สัดส่วนใหม่) 8.93% แผนทองคำ 24.67% แผนหลัก 3.73% ซึ่งกบข. สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวชนะอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 10 ปี ย้อนหลังบวก 2%