วันนี้ (1 ตุลาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ฉัฐมงคล อังคสกุลเกียรติ นายกเทศมนตรีเมืองศรีสะเกษ (บิดา), สกุลทิพย์ อังคสกุลเกียรติ (มารดา) และรัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ (น้องชาย) เดินทางเข้าสักการะศาลพระภูมิเจ้าที่และศาลตา-ศาลยา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล เพื่อความเป็นสิริมงคล ในโอกาสเข้าปฏิบัติหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลอย่างเป็นทางการ พร้อมถ่ายภาพกับครอบครัวที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า
สิริพงศ์ กล่าวถึงการทำหน้าที่ของโฆษกรัฐบาลว่า มีหน้าที่นำเสนอนโยบายรัฐบาลที่เป็นภาษาทางการ หรือ ศัพท์เทคนิคที่ค่อนข้างเข้าใจยากให้สื่อสารให้ประชาชนเข้าใจได้ ตรงประเด็นให้ได้มากที่สุด เพื่อให้การดำเนินการ ไปในทิศทางเดียวกันไม่ไขว้เขว พร้อมกับระบุว่า หากในการสื่อสารมีคนพูดหลายคนอาจจะทำให้เกิดก็จะมีความเข้าใจที่แตกต่าง และคลาดเคลื่อนกันบ้าง ซึ่งเราก็ต้องมีหน้าที่หากข่าวใดผิดเราก็ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง และนำเสนอข่าวที่ถูกต้องให้กับประชาชนทราบ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความคาดหวังของประชาชนที่อยากให้โฆษกรัฐบาลออกมาชี้แจงและตอบโต้ในกรณีชายแดนไทยกัมพูชา สิริพงศ์ กล่าวว่า ตนเองเป็นคนชายแดน ต้องสื่อสารให้ตรงไปตรงมา แต่ประเด็นที่สำคัญในการสื่อสาร สำหรับสถานการณ์ชายแดน จำเป็นจะต้องมีการคัดกรองข่าว อย่างกรณีที่กัมพูชาหลายครั้งออกมากระทำการยั่วยุ เพื่อให้ฝ่ายไทยโต้ตอบ ซึ่งทุกอย่างก็แล้วแต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่เมื่อสถานการณ์ตึงเครียด จำเป็นจะต้องสื่อสารกับประชาชนโดยเร็วที่สุดก็ต้องทำ แต่การทำงานของโฆษกคณะนี้ มีความตั้งใจว่ากระทรวงที่มีส่วนในการสื่อสารเช่นกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม จะต้องขอให้ทางทีมโฆษก ของแต่ละกระทรวง ทำงานใกล้ชิดกับโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อการสื่อสารที่รวดเร็วและตรงประเด็น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการปรับกลยุทธ์ในการสื่อสารหรือไม่ สิริพงศ์ย้ำว่า จะต้องมีการสื่อสารที่รวดเร็วและตรงประเด็น เนื่องจากทราบว่าความล่าช้าในอดีตที่ผ่านมา อาจจะทำให้ประชาชนมีความไม่เข้าใจ และการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการ อาจจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนและความกังวลใจ ซึ่งเราจะเอาบทเรียนเหล่านั้น จากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา มาปรับปรุงในการสื่อสารเชิงรุกให้มากขึ้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าระยะเวลา 4 เดือนเพียงพอในการแก้ไขปัญหาชายแดนหรือไม่ สิริพงศ์ กล่าวว่า ปัจจัยไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียว แต่อยู่ที่กัมพูชาด้วย นายกรัฐมนตรีมีเจตนาที่หนักแน่น ว่าสถานการณ์ชายแดนจะไม่มีการเริ่มเจรจาเปิดด่าน จนกว่ากัมพูชาจะถอนกำลัง และตนเชื่อว่ามาตรการ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงกลาโหม หรือกระทรวงการต่างประเทศ ทุกอย่างที่ดำเนินการอยู่ ก็หวังจะกดดันให้กัมพูชา ถอนกำลังโดยเร็ว และสถานการณ์เป็นปกติโดยเร็ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ และแนวทางของรัฐบาลไทย คือไม่ยอมที่จะอ่อนข้อให้กับเขาอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน สิริพงศ์ ยังระบุว่าศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา หรือ ศบ.ทก. จะยังคงมีอยู่ซึ่งเป็นคณะทำงานชุดเดิม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการทำความเข้าใจเรื่องการทำประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น สิริพงศ์กล่าวว่า เมื่อมีร่างรัฐธรรมนูญเข้าสภาแล้ว ต้องมาดูว่าสภารับร่างไหนมาพิจารณาบ้าง เมื่อรับมาพิจารณาแล้วทิศทางของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเป็นอย่างไร สุดท้ายต้องรอ กมธ.ออกมาก่อนว่าไฟนอลเป็นอย่างไร เพื่อที่ประชาชนจะได้มีความเข้าใจตรงกัน ไม่สับสน แต่หากเรารวมทุกร่าง แนวทางอาจจะไปคนละแนวทาง ทั้งนี้เมื่อผ่านวาระ 1 และ 2 แล้วจะต้องมีการประชาสัมพันธ์อย่างเข้มข้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การทำประชามติที่มีหลายเรื่อง อาจเกิดความสับสน จะสื่อสารกับประชาชนอย่างไร สิริพงศ์ กล่าวว่า ตรงไปตรงมา เพราะในบัตรเลือกตั้ง สส.ทั้งแบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขต เบอร์ไม่ตรงกันอยู่แล้ว ส่วนประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะมี 2 ข้อ
ส่วนการยกเลิกเอ็มโอยูจะมีคำถาม 1 ข้อต่างหาก ตนคิดว่าอาจไม่เป็นการยากลำบากขนาดนั้นที่จะทำความเข้าใจ แต่อาจจะเสียเวลาตอนเข้าคูหา เพราะมีหลายคำถามที่ประชาชนจะต้องใช้วิจารณญาณ แต่เมื่อถึงเวลาแล้ว พอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดอะไรขึ้นมาก็จะมีการสื่อสารกันไป เช่น ลักษณะบัตร สีของบัตร เป็นแบบไหน ต้องรอ กกต.เป็นผู้กำหนด
ส่วนกรณีที่ประชาชน สอบถามว่าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถถอนออกเป็นเงินสดได้หรือไม่ สิริพงศ์ กล่าวว่า กรณีของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่รัฐบาลจะเพิ่มเงินท็อปอัพให้ 2 ครั้ง 850 บาทในเดือนพฤศจิกายน และ อีก 850 บาทในเดือนธันวาคม รวมเป็นเงิน 1,700 บาท สิทธิประโยชน์ทุกอย่าง เป็นไปตามเดิมทุกประการ ไม่มีอะไรเปลี่ยน ทำอะไรได้ก็คือทำเหมือนเดิม ไม่มีสิทธิอะไรเพิ่มเติม ซึ่งจะได้เข้าใจตรงกัน เพราะเดี๋ยวจะบอกว่า ได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปแล้ว ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ ได้หรือไม่ ยืนยันว่าสิทธิ์เป็นไปตามเดิมทุกประการ ถ้าถอนเงินสดได้ก็คือถอนได้ ถ้าถอนไม่ได้ก็คือไม่ได้ต้องเป็นเช่นนั้น