รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียน ได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันความร่วมมือระหว่างภูมิภาค โดยเฉพาะเรื่องการค้าการลงทุน เพราะเป็นกลไกสำคัญที่จะส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนนี้จะมีการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วยสมาชิก 16 ประเทศคือ สมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และคู่เจรจาอีก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย (ยังไม่ร่วมลงนาม) มีประชากรรวมกัน 3.6 พันล้านคน คิดเป็น 48.1% ของประชากรโลก
โดยในปีที่แล้ว ประเทศสมาชิกมีมูลค่า GDP กว่า 28.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 32.7% ของ GDP โลก ทั้งนี้การลงนาม RCEP จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจและส่งเสริมระบบกฎเกณฑ์การค้าแบบพหุภาคี และมั่นใจว่าจะทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจโลกและภูมิภาคเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ
ในส่วนของประเทศอินเดีย แม้ยังไม่ได้ร่วมลงนาม RCEP ก็ไม่เป็นไร เพราะประเทศสมาชิกยังเปิดโอกาสให้อินเดียเมื่อพร้อมเสมอ อีกทั้งอาเซียนได้มีความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย (AITIGA) ตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งจะมีการทบทวนความตกลงให้ทันสมัยและเอื้อต่อการค้าและการลงทุน รวมถึงจะมีการพิจารณาเรื่องการเปิดตลาด การลดอุปสรรคในมาตรการที่มิใช่ภาษี การลดความล่าช้าและยุ่งยากในพิธีการศุลกากร และอำนวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งจะช่วยผลักดันการค้าระหว่างอาเซียนกับอินเดียให้บรรลุเป้าหมายที่ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2565
มากไปกว่านั้น อาเซียนยังได้มีการขยายความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป และสหภาพยูเรเซีย (เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน อาร์เมเนีย และรัสเซีย) แม้จะยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ข้อตกลงการค้าเสรี แต่ก็เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นที่ดีที่ได้มีการลงนามเห็นชอบร่วมกันในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เรื่องแผนงานส่งเสริมการค้าการลงทุน และการหารือเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีในการออกกฎระเบียบ เท่ากับว่าอาเซียนได้ขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกว้างไกลกว่าภูมิภาคเอเชียแล้ว
ยังมีเรื่องการฟื้นการเจรจาการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป 27 ประเทศ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะจะช่วยเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เป็นการขยายโอกาสการส่งออกสินค้าไทยในปี 2562 สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าอันดับ 5 ของไทยรองจากอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ การค้าระหว่างไทย-สหภาพยุโรป มีมูลค่ากว่า 4.45 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการค้า 9.2% ของการค้าไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปสหภาพยุโรปมูลค่า 2.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
กระทรวงพาณิชย์ในฐานะเจ้าภาพหลักได้ทำการศึกษาและระดมความคิดเห็นต่อความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป ที่ครอบคลุมเรื่องการค้า สินค้า บริการ และการลงทุน ซึ่งหากมีการลดภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการทั้งของไทยและสหภาพยุโรปในระยะยาวจะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวได้ถึง 1.28% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.05 แสนล้านบาท สินค้าส่งออกของไทยมีโอกาสขยายตัว เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน สิ่งทอ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหาร เคมีภัณฑ์ ยาง และพลาสติก
ในส่วนข้อกังวลจากภาคประชาสังคมเรื่องการเข้าถึงยาและการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่สืบเนื่องจากมาตรฐานการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่สูงขึ้น กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาอย่างรอบคอบ รับฟังทุกด้าน เตรียมความพร้อมเพื่อการเจรจาอย่างรัดกุมต่อไป โดยผลของการศึกษาและการฟื้นการเจรจาค้าเสรีฯ กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในอีกไม่นานนี้
รัชดาระบุว่า เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกคลี่คลาย การบริโภคและความต้องการสินค้าระหว่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้น การค้าเสรีจะทำให้สินค้าส่งออกไทยไม่ต้องแบกรับอัตราภาษี อย่างไรก็ตาม การค้าเสรีจะเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อภาคเอกชนไทยมีศักยภาพทางการแข่งขันในเรื่องคุณภาพและการผลิตได้ตามความต้องการของตลาด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีการจัดทัพให้ทูตพาณิชย์เป็นเซลส์แมนประเทศ หาตลาดและจับคู่ธุรกิจการค้า ส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และหน่วยงานรัฐต่างๆ มีโครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ ทั้งเรื่องแหล่งเงินกู้ การอบรมการใช้เทคโนโลยีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร การส่งเสริมมาตรฐานสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก
“รัฐบาลพร้อมดูแลและเยียวยาอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบ ส่วนการค้าเสรีที่อยู่ในขั้นพิจารณาว่าจะไปเจรจาหรือไม่ เช่น ไทย-สหภาพยุโรป จะไม่มีการเร่งรีบ แต่ต้องศึกษาอย่างรอบคอบและรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อกำหนดท่าทีเจรจาและการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง” รัชดากล่าว
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์