วันนี้ (11 กรกฎาคม) แถลงการณ์จากสำนักนายกรัฐมนตรีศรีลังกาเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโกตาบายา ราชปักษา ได้แจ้งต่อนายกรัฐมนตรีรานิล วิกรมสิงเห ว่าเขาจะลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในวันพุธที่ 13 กรกฎาคม ตามที่ประธานรัฐสภาได้ประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาบรรดาผู้ประท้วงชาวศรีลังกาได้ลุกฮือบุกเข้าไปยังบ้านพักของทั้งสองผู้นำ พร้อมประกาศปักหลักพักอาศัยในพื้นที่ดังกล่าวจนกว่าประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีจะลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เพราะไม่ไว้วางใจว่าผู้นำประเทศจะยอมรักษาสัญญาที่ให้ไว้
ถึงแม้จะมีประกาศออกมาทั้งจากฝั่งของประธานรัฐสภาและสำนักนายกรัฐมนตรี แต่จนถึงขณะนี้ราชปักษายังไม่ได้ออกมาให้คำมั่นกับประชาชนด้วยตัวเอง ส่งผลให้ชาวศรีลังกาเกิดข้อกังขาว่าผู้นำประเทศจะทำตามที่ให้คำมั่นไว้ได้หรือไม่ เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญของศรีลังกานั้น การลาออกของประธานาธิบดีจะมีผลอย่างเป็นทางการก็ต่อเมื่อตัวประธานาธิบดีลงนามในจดหมายลาออกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และยื่นต่อประธานรัฐสภา ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการดำเนินขั้นตอนดังกล่าว
ด้านวิกรมสิงเหได้ให้คำมั่นที่จะก้าวลงจากตำแหน่งด้วยเช่นกัน โดยจะเปิดทางให้รัฐบาลเอกภาพชุดใหม่เข้ามารักษาการณ์ชั่วคราวก่อนที่ศรีลังกาจะสามารถจัดการเลือกตั้งรัฐสภาได้ โดยวานนี้ (10 กรกฎาคม) บรรดาผู้นำจากพรรคการเมืองต่างๆ ได้หารือกันเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลผสม เพื่อให้รัฐบาลใหม่สานต่อการเจรจากับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อกู้ยืมเงินมาพยุงเศรษฐกิจที่ล่มสลาย
สำนักข่าว Associated Press รายงานว่า ซาจิต ปรีมาดาซา (Sajith Premadasa) ผู้นำฝ่ายค้านหลัก และ ดัลลาส อะลาอัปเปรูมะ (Dullas Alaapperuma) ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของราชปักษา ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีตามลำดับ
นอกจากนี้สำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวในแถลงการณ์ด้วยว่า วิกรมสิงเหได้จัดการประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีในช่วงเช้าวันนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมในการส่งมอบความรับผิดชอบต่างๆ ให้กับรัฐบาลชุดใหม่ทันทีที่การจัดตั้งเสร็จสมบูรณ์
อนึ่ง ตามกระบวนการแล้วเมื่อประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ขั้นตอนต่อไปคือประธานสภาจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดี และรัฐสภาจะต้องลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดีคนใหม่ภายใน 30 วัน เพื่อมาดำรงตำแหน่งแทนราชปักษา ซึ่งเดิมจะสิ้นสุดวาระในปี 2024
แฟ้มภาพ: Ishara S. Kodikara / AFP
อ้างอิง:
