ผู้เชี่ยวชาญตลาดทองคำฟันธง ราคาทองคำเข้าสู่เทรนด์ขาลง รับแรงกดดัน Fed เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยดึงเงินไหลกลับเข้าสู่เงินดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ทั้งกองทุน SPDR และธนาคารกลาง เริ่มส่งสัญญาณขาย เพื่อตุนเงินสดเสริมสภาพคล่อง พร้อมแนะทยอยเข้าสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวและเน้นลงทุนระยะยาว
ราคาทองคำตั้งแต่ต้นปีจนปัจจุบันยังอยู่ในโซนบวก โดยปรับเพิ่มขึ้น 1% ล่าสุด ณ วันที่ 20 พฤษภาคม อยู่ที่ 1,845 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากดูราคาย้อนหลัง 3 เดือน พบว่าราคาทองคำปรับตัวลดลง 3.5% และย้อนหลัง 1 เดือน ราคาทองคำปรับลดลง 7%
จรณเวท ศักดิ์ศรี ผู้อำนวยการฝ่ายแนะนำการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน คลาสสิก ออสสิริส กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวราคาทองคำในช่วงนี้ถูกกดดันจากปัจจัยลบเรื่องแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เป็นหลัก โดยล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ได้กล่าวย้ำว่า Fed จะไม่ลังเลที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลให้ Dollar Index แข็งค่า และเป็นสาเหตุหลักที่ราคาทองคำไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้
“แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกในเรื่องของการมีสถานะเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ แต่จากนี้ไปเชื่อว่าราคาทองคำจะไม่ตอบรับปัจจัยบวกด้านนี้มากนัก” จรณเวทกล่าว
จรณเวทกล่าวว่า ทางฝั่งผู้ลงทุนรายใหญ่อย่างกองทุน SPDR ก็เริ่มส่งสัญญาณขายทองคำมากขึ้น โดยเฉพาะในเดือนพฤษภาคมนี้ กองทุน SPDR ขายทองคำสุทธิ 45 ตัน ซึ่งเป็นการขายที่แรงและเร็วเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/65 ที่มีการเข้าซื้อสุทธิตลอดไตรมาส แบ่งเป็นเดือนมกราคม ซื้อสุทธิ 38.6 ตัน เดือนกุมภาพันธ์ ซื้อสุทธิ 12.73 ตัน และเดือนมีนาคม ซื้อสุทธิ 64.45 ตัน ส่วนเดือนเมษายน สัญญาณซื้อสุทธิเริ่มชะลอ แต่ก็ยังคงซื้อสุทธิที่ 3.11 ตัน
จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ประเมินว่าทองคำเริ่มเข้าสู่ขาลงแล้ว โดยประเมินแนวโน้มในระยะหนึ่งเดือนจากนี้ว่ายังคงปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ระหว่างทางอาจมีการรีบาวด์กลับขึ้นมาในระยะสั้นๆ โดยมองแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และประเมินปรับเป้าหมายราคาทองคำปี 2565 เป็น 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์
“ระดับราคาที่ 1,800 ดอลลาร์ ไม่ได้มองเป็นนัยสำคัญ และเชื่อว่าราคาสามารถหลุดระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ภายในวันเดียว เนื่องจากค่าเฉลี่ยความผันผวนของราคาทองคำอยู่ที่ 30 ดอลลาร์ต่อวัน และหากหลุดระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็มองแนวรับถัดไปรอบ 1 เดือนที่ 1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนภาพระยะยาวไปถึงสิ้นปียังมองเป็นเทรนด์ขาลง และปรับเป้าหมายเป็น 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์”
สำหรับคำแนะนำการลงทุน แนะนำให้มีทองคำในพอร์ตประมาณ 5% โดยสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนจำนวนมากแนะนำให้ชะลอการซื้อไปก่อนเพื่อรอราคาอ่อนตัว ส่วนนักลงทุนรายย่อยแนะนำให้ทำ DCA ในพอร์ตระยะยาว
ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประธานบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ MTS Gold กล่าวว่า มองราคาทองคำทั้งปีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,800-1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ระหว่างนี้จะหลุดระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไป แต่ก็เป็นการพักฐานเพื่อค่อยๆ รีบาวด์กลับขึ้นมา
โดยความเคลื่อนไหวราคาทองคำในช่วงนี้ถูกกดดันจากนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่ทำให้เงินไหลกลับสู่ดอลลาร์ ส่งผลให้ Dollar Index แข็งค่าขึ้น และกดดันให้ราคาทองคำปรับลดลง ขณะที่ผู้ลงทุนรายใหญ่อย่างกองทุน SPDR และธนาคารกลางหลายประเทศจะขายสุทธิทองคำ ก็เชื่อว่าเป็นการขายเพื่อเสริมสภาพคล่องเท่านั้น
“โดยปกติแล้วทองคำจะเป็นสินทรัพย์แรกๆ ที่เคลื่อนไหวขึ้นลงรับแรงกดดันดังกล่าว รอบนี้ก็ปรับลดลงก่อนตลาดหุ้นและรีบาวด์ขึ้นมาก่อนตลาดหุ้นเช่นกัน โดยที่ผ่านมาแม้จะมีช่วงปรับลดลงแรงแต่ก็ไม่ได้รุนแรงเท่ากับราคาของคริปโต จึงมองว่าทองคำยังสามารถทำหน้าที่สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงและเงินเฟ้อที่ดีอยู่เช่นเดิม ทั้งนี้แนะนำถือทองคำในพอร์ต 10-15%” ณัฐพงศ์กล่าว
ขณะที่ พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของราคาทองคำในตลาดโลกในช่วงที่ผ่านมามีจังหวะหลุดระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นไปตามทิศทางของราคาสินทรัพย์หลายประเภทที่ร่วงลงท่ามกลางการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์
แม้ว่าทองคำจะทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในช่วงที่ราคาสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้นและคริปโต ปรับลดลง ส่งผลให้นักลงทุนถูกเรียกวางเงินหลักประกันเพิ่ม จึงผลส่งให้นักลงทุนต้องขายทองคำเพื่อนำเงินไปวางเงินหลักประกันเพิ่มในสินทรัพย์เสี่ยง
ดังนั้นในระยะสั้นราคาทองคำจึงมีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีกตามทิศทางของสินทรัพย์เสี่ยงที่ยังมีโอกาสลดลงต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนยังมีความกังวลในหลายด้าน ทั้งตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังน่าเป็นห่วง รวมถึงสถานการณ์ในยูเครนและรัสเซียที่ยังต้องจับตาต่อเนื่อง
ทั้งนี้ วายแอลจีแนะนำนักลงทุนชะลอการเข้าซื้อทองคำในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ การปรับตัวลดลงของราคาทองคำในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสสำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวทองคำที่แนวรับสำคัญบริเวณ 1,778 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีแนวต้าน 1,851 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนราคาทองคำในประเทศมองกรอบการเคลื่อนไหวที่ 29,150-30,350 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งในระยะต่อไปยังต้องจับตาว่าจะมีปัจจัยบวกหรือปัจจัยลบเข้ามากระทบต่อทองคำและจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด
โดยวายแอลจียังคงคำแนะนำนักลงทุนแบ่งสัดส่วนการลงทุน โดยการมีทองคำในพอร์ต 5-15% เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งถือครองทองคำอยู่ 5,676 ตัน และเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนรายใหญ่ในตลาดทองคำ เริ่มขายทองคำออกมา โดยผู้ค้ารายหนึ่งประเมินว่า การลดการถือครองทองคำครั้งนี้กำลังส่งสัญญาณต่อตลาดว่านักลงทุนสถาบันอย่างธนาคารกลางกำลังลดการถือครองทองคำ เพื่อเพิ่มการถือครองเงินดอลลาร์หรือสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งในการเพิ่มเงินสดในทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP