ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินบาทไทย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของราคาทองจึงมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาเงินบาทแบบยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ ขณะที่ความผันผวนก็ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการ พร้อมประเมินภาพรวมตลาดดอกเบี้ยและพันธบัตรทั้งในประเทศและสหรัฐฯ
แพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning WEALTH ระบุว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นไปทำ All-Time High ก่อนจะร่วงลงมาต่ำกว่าระดับ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งความผันผวนนี้มีผลกระทบต่อตลาดการเงินของไทย
สำหรับการส่งออกหรือนำเข้าทองคำถือเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดอุปทานในตลาดเงินดอลลาร์กับบาท ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนในปีนี้ โดยภาพรวมที่ยังคงเห็นได้คือ เมื่อราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ค่าเงินบาทก็มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้น
สำหรับตัวอย่างความสัมพันธ์ที่ชัดเจน ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาที่มีการส่งออกทองคำค่อนข้างสูง ส่งผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวลงไปแตะที่ 31.66 บาท
อย่างไรก็ตาม มีบางจังหวะที่ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เช่น ในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นจาก 4,000 ไปยัง 4,300-4,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ค่าเงินบาทกลับอ่อนค่าลง สาเหตุอาจมาจากปริมาณสินค้าคงคลัง (Inventory) ในตลาดทองคำไทยที่เหลือน้อยลง ทำให้ความต้องการซื้อกลับเข้ามาในพอร์ตสูงขึ้น
ทั้งนี้ ข้อสรุปเชิงสถิติจาก SCB พบว่า ทองคำมีความสัมพันธ์ (Correlation) กับค่าเงินบาทอยู่ที่ประมาณ 80% โดยระบุแนวโน้มหลักคือ ทองคำขึ้น บาทแข็ง และทองคำลง บาทอ่อน
De-dollarization และวัฏจักรเศรษฐกิจกดดันค่าเงินดอลลาร์
เมื่อถูกถามถึงกระแส De-dollarization หรือ การลดการพึ่งพาดอลลาร์ แพททริก อธิบายว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมานานแล้ว หากดูจากภาพรวมของธนาคารกลางทั่วโลก จะเห็นว่ามีการถือครองดอลลาร์ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งกินเวลามาเกือบ 10 ปีแล้ว และมีการหันไปใช้สกุลเงินอื่นมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีสกุลเงินใดที่สามารถเข้ามาแทนที่ดอลลาร์ได้ในระยะเวลาอันใกล้ โดยประเมินดังนี้
- ผลระยะยาว การลดการพึ่งพาดอลลาร์ (Dollar Sensation) จะส่งผลในระยะยาวอย่างแน่นอน
- ปัจจัยกดดันระยะสั้น การอ่อนค่าของดอลลาร์ในปีนี้เป็นผลจากวัฏจักรทางเศรษฐกิจ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแอลง ประกอบกับมุมมองที่ชัดเจนของ Fed ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เกิดการปรับลดสัดส่วนดอลลาร์ลง แต่จะไม่ใช่การปรับตัวที่เกิดขึ้นภายในปีนี้หรือปีหน้า แต่เป็น Long-Term Effect
มุมมองตลาดพันธบัตรไทยและสหรัฐฯ
ตลาดพันธบัตรก็ได้รับผลกระทบจากการคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเช่นกัน โดยคาดการณ์ ดังนี้
1. พันธบัตรรัฐบาลไทย
- ดอกเบี้ยระยะสั้น ภาพรวมนโยบายยังไม่เปลี่ยนจากเดือนที่แล้ว SCB คาดการณ์ว่า จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในช่วงสิ้นปีนี้ และอีก 1 ครั้งในช่วงต้นปีหน้า โดยคาดว่าดอกเบี้ยระยะสั้นซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1.55% มีโอกาสปรับลดลงไปเป็น 1% ได้ในปีหน้า
- พันธบัตรระยะยาว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาวมีการ Price In การลดดอกเบี้ยไปค่อนข้างมากแล้ว อาจเห็นการปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อย เนื่องจากราคาได้ลงไปมากแล้ว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น เช่น การปรับอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ถูกปรับไปแล้ว, Valuation ของไทยที่ดึงดูดน้อยกว่า, และความต้องการของกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ลดลง โดยสรุปคือ ตัวสั้นสามารถลงได้อีก แต่ตัวยาวอาจจะถึงจุดต่ำสุด ไปแล้ว และอาจจะทรงตัวในลักษณะซึมๆ
2 .พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
- ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ได้หลุดระดับ 4% ลงมาแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการคาดการณ์ลดดอกเบี้ยของ Fed
- ภาพรวมยังคงเดิม คือ Fed จะลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า
- พันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ อาจจะซึมลงอย่างต่อเนื่อง หาก Fed ไม่มีคอมเมนต์ที่แข็งกร้าวในช่วงนี้ ก็คาดว่าจะเป็นการซึมลงมากกว่า
มองความผันผวนเป็นโอกาสและเน้นการป้องกันความเสี่ยง
ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่ตลาดมีความผันผวนเช่นนี้ แพททริกมองว่า นักลงทุน ผู้ประกอบการนำเข้า และผู้ส่งออก ควรมองความผันผวนเป็นโอกาส
โอกาสสำหรับผู้นำเข้า และส่งออก เมื่อค่าเงินบาทปรับตัวลงมาก ๆ ผู้นำเข้าก็มีโอกาสซื้อสินค้าในราคาที่ดี ขณะที่เมื่อค่าเงินบาทมีการปรับตัวขึ้นจาก 31.6 บาทไปเกือบ 33 บาท ผู้ส่งออกไทยก็มีโอกาสเช่นเดียวกัน
คำแนะนำหลักในการจัดการความเสี่ยงและการลงทุน
- การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) เน้นการป้องกันความเสี่ยง และควรมี Margin of Safety ให้กับธุรกิจ
- โฟกัสที่ธุรกิจหลัก กฎสำคัญคือ อย่าขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ให้ไปโฟกัสที่ธุรกิจหลักของคุณ
- กระจายความเสี่ยงทั่วโลก (Diversification) ในปีนี้หลายสินทรัพย์ทั่วโลกมีผลตอบแทนที่ดีขึ้น ทั้งหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น หรือทองคำที่เป็นสินทรัพย์ทางเลือก นักลงทุนสามารถลงทุนได้รอบโลก ไม่จำกัดแค่ตลาดไทย
- ใช้บัญชี FCD เทรนด์ของนักลงทุนไทยกำลังปรับตัว โดยมีการแบ่งพอร์ตไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นผ่านบริการบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) เนื่องจากสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทยยังค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญในการแบ่งพอร์ตไปลงทุน


