×

เจาะลึกความสัมพันธ์ ‘ทองคำ’ กับเงินบาท ราคาทองผันผวน เสี่ยงกระทบตลาดการเงินไทยแค่ไหน

28.10.2025
  • LOADING...
เจาะลึกความสัมพันธ์ ‘ทองคำ’ กับเงินบาท ราคาทองผันผวน เสี่ยงกระทบ ตลาดการเงินไทยแค่ไหน

ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินบาทไทย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของราคาทองจึงมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาเงินบาทแบบยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ ขณะที่ความผันผวนก็ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการ พร้อมประเมินภาพรวมตลาดดอกเบี้ยและพันธบัตรทั้งในประเทศและสหรัฐฯ

 

แพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning WEALTH ระบุว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นไปทำ All-Time High ก่อนจะร่วงลงมาต่ำกว่าระดับ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งความผันผวนนี้มีผลกระทบต่อตลาดการเงินของไทย

 

สำหรับการส่งออกหรือนำเข้าทองคำถือเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดอุปทานในตลาดเงินดอลลาร์กับบาท ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนในปีนี้ โดยภาพรวมที่ยังคงเห็นได้คือ เมื่อราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ค่าเงินบาทก็มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้น

 

สำหรับตัวอย่างความสัมพันธ์ที่ชัดเจน ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาที่มีการส่งออกทองคำค่อนข้างสูง ส่งผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวลงไปแตะที่ 31.66 บาท

 

อย่างไรก็ตาม มีบางจังหวะที่ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เช่น ในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นจาก 4,000 ไปยัง 4,300-4,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ค่าเงินบาทกลับอ่อนค่าลง สาเหตุอาจมาจากปริมาณสินค้าคงคลัง (Inventory) ในตลาดทองคำไทยที่เหลือน้อยลง ทำให้ความต้องการซื้อกลับเข้ามาในพอร์ตสูงขึ้น

 

ทั้งนี้ ข้อสรุปเชิงสถิติจาก SCB พบว่า ทองคำมีความสัมพันธ์ (Correlation) กับค่าเงินบาทอยู่ที่ประมาณ 80% โดยระบุแนวโน้มหลักคือ ทองคำขึ้น บาทแข็ง และทองคำลง บาทอ่อน

 

De-dollarization และวัฏจักรเศรษฐกิจกดดันค่าเงินดอลลาร์

 

เมื่อถูกถามถึงกระแส De-dollarization หรือ การลดการพึ่งพาดอลลาร์ แพททริก อธิบายว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมานานแล้ว หากดูจากภาพรวมของธนาคารกลางทั่วโลก จะเห็นว่ามีการถือครองดอลลาร์ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งกินเวลามาเกือบ 10 ปีแล้ว และมีการหันไปใช้สกุลเงินอื่นมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีสกุลเงินใดที่สามารถเข้ามาแทนที่ดอลลาร์ได้ในระยะเวลาอันใกล้ โดยประเมินดังนี้

 

  • ผลระยะยาว การลดการพึ่งพาดอลลาร์ (Dollar Sensation) จะส่งผลในระยะยาวอย่างแน่นอน
  • ปัจจัยกดดันระยะสั้น การอ่อนค่าของดอลลาร์ในปีนี้เป็นผลจากวัฏจักรทางเศรษฐกิจ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแอลง ประกอบกับมุมมองที่ชัดเจนของ Fed ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เกิดการปรับลดสัดส่วนดอลลาร์ลง แต่จะไม่ใช่การปรับตัวที่เกิดขึ้นภายในปีนี้หรือปีหน้า แต่เป็น Long-Term Effect

 

มุมมองตลาดพันธบัตรไทยและสหรัฐฯ

 

ตลาดพันธบัตรก็ได้รับผลกระทบจากการคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเช่นกัน โดยคาดการณ์ ดังนี้

 

1. พันธบัตรรัฐบาลไทย

 

  • ดอกเบี้ยระยะสั้น ภาพรวมนโยบายยังไม่เปลี่ยนจากเดือนที่แล้ว SCB คาดการณ์ว่า จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในช่วงสิ้นปีนี้ และอีก 1 ครั้งในช่วงต้นปีหน้า โดยคาดว่าดอกเบี้ยระยะสั้นซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1.55% มีโอกาสปรับลดลงไปเป็น 1% ได้ในปีหน้า

 

  • พันธบัตรระยะยาว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาวมีการ Price In การลดดอกเบี้ยไปค่อนข้างมากแล้ว อาจเห็นการปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อย เนื่องจากราคาได้ลงไปมากแล้ว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น เช่น การปรับอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ถูกปรับไปแล้ว, Valuation ของไทยที่ดึงดูดน้อยกว่า, และความต้องการของกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ลดลง โดยสรุปคือ ตัวสั้นสามารถลงได้อีก แต่ตัวยาวอาจจะถึงจุดต่ำสุด ไปแล้ว และอาจจะทรงตัวในลักษณะซึมๆ

 

2 .พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

 

  • ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ได้หลุดระดับ 4% ลงมาแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการคาดการณ์ลดดอกเบี้ยของ Fed

 

  • ภาพรวมยังคงเดิม คือ Fed จะลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า

 

  • พันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ อาจจะซึมลงอย่างต่อเนื่อง หาก Fed ไม่มีคอมเมนต์ที่แข็งกร้าวในช่วงนี้ ก็คาดว่าจะเป็นการซึมลงมากกว่า

 

มองความผันผวนเป็นโอกาสและเน้นการป้องกันความเสี่ยง

 

ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่ตลาดมีความผันผวนเช่นนี้ แพททริกมองว่า นักลงทุน ผู้ประกอบการนำเข้า และผู้ส่งออก ควรมองความผันผวนเป็นโอกาส
โอกาสสำหรับผู้นำเข้า และส่งออก เมื่อค่าเงินบาทปรับตัวลงมาก ๆ ผู้นำเข้าก็มีโอกาสซื้อสินค้าในราคาที่ดี ขณะที่เมื่อค่าเงินบาทมีการปรับตัวขึ้นจาก 31.6 บาทไปเกือบ 33 บาท ผู้ส่งออกไทยก็มีโอกาสเช่นเดียวกัน

 

คำแนะนำหลักในการจัดการความเสี่ยงและการลงทุน

 

  1. การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) เน้นการป้องกันความเสี่ยง และควรมี Margin of Safety ให้กับธุรกิจ
  2. โฟกัสที่ธุรกิจหลัก กฎสำคัญคือ อย่าขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ให้ไปโฟกัสที่ธุรกิจหลักของคุณ
  3. กระจายความเสี่ยงทั่วโลก (Diversification) ในปีนี้หลายสินทรัพย์ทั่วโลกมีผลตอบแทนที่ดีขึ้น ทั้งหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น หรือทองคำที่เป็นสินทรัพย์ทางเลือก นักลงทุนสามารถลงทุนได้รอบโลก ไม่จำกัดแค่ตลาดไทย
  4. ใช้บัญชี FCD เทรนด์ของนักลงทุนไทยกำลังปรับตัว โดยมีการแบ่งพอร์ตไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นผ่านบริการบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) เนื่องจากสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทยยังค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญในการแบ่งพอร์ตไปลงทุน
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising