Godzilla: The Planet Eater คือบทสรุปของไตรภาคแอนิเมชันชุดแรกในแฟรนไชส์ราชาสัตว์ประหลาดที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง TOHO animation และ Polygon Pictures เข้าฉายเฉพาะโรงภาพยนตร์ประเทศญี่ปุ่น และแฟนๆ ทั่วโลกสามารถรับชมได้เฉพาะใน Netflix ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา
ไตรภาคชุดนี้จะพาคนดูข้ามไปสู่โลกอนาคต โดยสองภาคแรกจะเล่าเรื่องตั้งแต่ช่วงที่มนุษย์พ่ายแพ้ให้กับก็อตซิลล่าตัวล่าสุด จนต้องอพยพไปหาถิ่นฐานใหม่นอกโลก ก่อนตัดสินใจกลับมาสู้กับราชาสัตว์ประหลาดอีกครั้งหลังเวลาในอวกาศผ่านไป 20 ปี แต่เวลาบนโลกนั้นล่วงเลยไปถึง 20,000 ปี ทำให้ศัตรูในครั้งนี้เติบโตไปเป็นก็อตซิลล่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยน้ำหนักตัว 100,000 ตัน และความสูงมากกว่า 317 เมตร
โดยมีมนุษย์ที่นำโดย ร้อยเอก ฮารุโอะ ซาซากิ, มนุษย์โบราณเผ่าฮูตูอา, มนุษย์ต่างดาวชาวเอ็กซ์ซิปที่เดินทางทั่วจักรวาลเพื่อเผยแพร่ศาสนาของตัวเอง และมนุษย์ต่างดาวชาวบิลุซาลุโด เจ้าของเทคโนโลยีนาโนโลหะ ที่ถูกนำมาสร้างเป็น ‘Mechagodzilla’ อาวุธทรงพลังที่ใช้ต่อสู้กับก็อตซิลล่า เป็นตัวละครหลักที่มีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป
บอกก่อนว่า สำหรับแฟนๆ ที่คาดหวังว่าจะได้เห็นฉากการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างก็อตซิลล่าและคิง กิโดร่าห์ สองศัตรูคู่แค้นให้จุใจหลังจากเห็นภาพโปสเตอร์โปรโมต อาจจะต้องทำใจไว้บ้าง เพราะฉากแอ็กชันเดือดพล่านที่เคยเห็นในสองภาคก่อนหน้านั้นไม่ใช่สาระสำคัญแท้จริงที่ Godzilla: The Planet Eater ต้องการนำเสนอ และน่าจะทำให้หลายคนรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับแนวคิดของทีมผู้สร้าง ที่กล้าทดลองลดฉากต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญ และไปเพิ่มพื้นที่ให้กับการเล่าเรื่องเชิง ‘ปรัชญา’ ที่สะท้อนความเป็นไปของสังคมขึ้นมาแทน โดยราชาสัตว์ประหลาดทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดการตัดสินใจที่น่าตั้งคำถามของมนุษย์เผ่าต่างๆ เท่านั้น
ตั้งแต่ชาวฮูตูอาที่เรียนรู้ในการปรับตัวและเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยความสงบ, ชาวบิลุซาลุโดที่เชื่อมั่นใน ‘อำนาจ’ ของตัวเอง ถึงขนาดยอมถูกกลืนกินเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโลหะนาโน และชาวเอ็กซ์ซิปที่ยึดมั่นในความเชื่อของตัวเองด้วยการอัญเชิญคิง กิโดร่าห์ ที่เปรียบเสมือน ‘พระเจ้า’ ของพวกเขาเพื่อมากลืนกินสัตว์ประหลาดและทำลายดวงดาวที่ความเจริญต่อไปเรื่อยๆ
รวมทั้ง ฮารุโอะ ตัวแทนฝั่งมนุษย์ที่ต้องรับมือกับความขัดแย้งภายในที่รับมือยากยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดตัวใดๆ ทั้งหมด จนนำไปสู่การตัดสินใจครั้งสุดท้าย ที่เราคงต้องพูดคุยกันอีกนานว่าทางที่เขาเลือกเดินนั้นถูกต้องจริงหรือเปล่า
ถึงแม้ว่าบริบทของการเล่าเรื่องตัวละครจะเปลี่ยนไป และก็อตซิลล่าถูกลดบทบาทลงมากเท่าไร แต่อย่างหนึ่งที่ Godzilla: The Planet Eater ยังคงเคารพต้นฉบับหนังก็อตซิลล่ายุคโชวะเมื่อ 65 ปีก่อน ที่ไม่ได้วางตัวราชาสัตว์ประหลาดในฐานะ ‘ต้นกำเนิดของหายนะ’ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่คอยย้ำเตือนถึงความสูญเสียอันโหดร้ายที่เป็นผลมาจากการทำสงครามแย่งชิงอำนาจเพื่อความเป็นที่หนึ่งของมนุษย์ ตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อเนื่องไปจนอนาคตที่ไม่มีจุดจบ
และเป็นเครื่องยืนยันอย่างหนึ่งว่า เราก็ยังจะได้เห็น ‘ก็อตซิลล่า’ ตัวใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ตราบใดที่มนุษย์ยังคงแสวงหาอำนาจ ทำลายธรรมชาติและทุกสิ่งที่ขวางหน้าอย่างไม่มีวันจบสิ้น
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า