×

‘Fight of the Century’ ก่อนเสียงระฆังแรกและระฆังสุดท้ายจะดังขึ้น

26.08.2017
  • LOADING...

     ดูเหมือนอะไรๆ มันจะไม่ได้เป็นดังหวังนะครับ สำหรับ ‘Fight of the Century’ ระหว่าง ฟลอยด์ ‘มันนี’ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ (Floyd Mayweather Jr.) กับ คอเนอร์ ‘โนโทเรียส’ แม็กเกรเกอร์ (Conor McGregor)

     อย่าว่าแต่คำว่า ‘ไฟต์แห่งศตวรรษ’ เลย เพราะคนในวงการเชื่อว่ามันห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็นมาก

     มันได้ถูก ‘ตัดสิน’ ไปแล้วว่านี่คือการต่อสู้ที่ไร้ความหมาย และไม่ห่างไกลจากการใช้คำว่าเป็น ‘เรื่องตลก’ บนสังเวียน

 

Photo: UFCEurope/twitter

 

     อีกสิ่งที่สะท้อนได้เป็นอย่างดีคือ การที่บัตรเข้าชมที่ T-Mobile Arena ยังคงจำหน่ายไม่หมด โดยยังมีบัตรอีกจำนวนกว่า 1,000 ใบที่รอใครสักคนมาจับจองเป็นเจ้าของอยู่ ทั้งที่เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง การชกก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

     มันเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างจากไฟต์ที่ฟลอยด์ได้ขึ้นสังเวียนกับ ‘แพ็กแมน’ แมนนี ปาเกียว เมื่อปี 2015 มาก ไฟต์นั้นบัตรเข้าชมในสนามถูกจำหน่ายหมดเป็นสัปดาห์ ก่อนหน้าที่การชกจะเริ่มต้นขึ้น

     เมื่อเข็มดัชนีดูจะชี้วัดไปทาง ‘ติดลบ’

     มันก็น่าสงสัยอยู่นะครับว่า สุดท้ายแล้วทั้งสองนั้นจะสู้กันไปเพื่ออะไร

     นอกเหนือจากตัวเลขในบัญชีของพวกเขาทั้งสองแล้ว มันมี ‘คุณค่า’ และ ‘ความหมาย’ อื่นอีกไหม

     หรือมันมีความหมายแค่นั้นจริงๆ

 

Photo: John GURZINSKI/AFP

 

ความกระหายของราชาผู้ไร้พ่าย

     ผมไม่แน่ใจนักว่าจะมีคนรัก ฟลอยด์ ‘มันนี’ เมย์เวทเธอร์ มากน้อยแค่ไหน

     เพราะถึงจะได้รับการจัดอันดับความสามารถเอาไว้สูงที่สุดบนเว็บ boxrec.com แบบ ‘ปอนด์ต่อปอนด์’ เหนือกว่าสุดยอดนักชกระดับตำนานทุกคน ไม่ว่าจะเป็น มูฮัมหมัด อาลี, ชูการ์ เรย์ โรบินสัน, ร็อกกี้ มาร์ซีอาโน, มาร์วิน แฮกเลอร์ และ คาร์ลอส มอนซอน แต่ฟลอยด์ก็ไม่ได้จัดเป็นนักชกในแบบ ‘ขวัญใจมหาชน’ เท่าไรนัก

     นั่นเพราะความยโสโอหังและเวอร์วังระดับแพลตินัมของเขา มันยากที่ใครจะหลงรักได้โดยง่าย

     กำปั้นของเขาเข้าขั้นเทวดา แต่ฝีปากของเขาไม่ต่างอะไรจากปีศาจจอมโวที่น่ารังเกียจ

 

Photo: John GURZINSKI/AFP

 

     แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ฟลอยด์ดูจะเป็นรองความกวนบาทาของแม็กเกรเกอร์อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการให้สัมภาษณ์บนเวทีระหว่างการโชว์ตัว หรือการให้สัมภาษณ์กับสื่อนอกเวทีก็ตาม

     ก็ยอมรับว่าน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ฟลอยด์ดูคล้ายจะกลายเป็นคนเรียบร้อยขึ้นมาทันที

     ตรงนี้บางคนอาจเทคะแนนสงสารให้บ้าง ผมเองก็คนหนึ่งครับ

     แต่อย่างที่บอก เรื่องของการชกแล้ว ไม่มีอะไรที่เราต้องสงสาร เพราะจะรักหรือชัง ฟลอยด์คือนักชกระดับตำนานเจ้าของสถิติ ‘ไร้พ่าย’ ชนะรวด 49 ไฟต์

     มากที่สุดที่เราทำได้คือแค่ ‘สงสัย’ ในเรื่องของพละกำลังและความแข็งแรงของร่างกายว่าจะเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหนในวัย 40 ปี และร้างเวทีมาร่วม 2 ปี นับจากการชกครั้งสุดท้ายกับ อังเดร เบอร์โต เมื่อเดือนกันยายน ปี 2015

     มีคนจำนวนมากครับที่เชื่อว่าฟลอยด์ปิดประตูแพ้ในไฟต์นี้ เพราะเขาเป็นผู้กำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เขาเท่านั้นที่สามารถเป็นผู้ชนะได้

     ถ้าไม่มั่นใจว่าชนะก็ไม่ขึ้นชก

     และถ้าไม่ได้เงินมากพอ (ที่จะจ่ายค่าภาษีมหาศาลแบบที่แม็กเกรเกอร์แขวะในการเปิดตัว) เขาก็ไม่ขึ้นชกอีกเหมือนกัน

     อย่างไรก็ดี ผมคิดว่า (แม้จะไม่รู้ว่าคิดไปเองคนเดียวและโลกสวยเกินไปหรือเปล่า)​ โอกาสในการได้หวนกลับคืนสู่สังเวียนผืนผ้าใบที่เขาคิดถึงอีกครั้งก็อาจเป็นหนึ่งเหตุผลได้เหมือนกัน

     สำหรับใครสักคนที่มอบชีวิตและจิตวิญญาณให้แก่การชกมวย ถ้ามีโอกาสจะได้กลับขึ้นสังเวียนเพื่อแสดงความสุดยอดของเชิงมวยให้ทุกคนได้เห็นอีกครั้ง มันก็ยากที่จะปฏิเสธ

     ถึงเดิมพันจะมีราคาสูง เพราะเกิดจับพลัดจับผลูพลาดโดนชกร่วง หรือถูกจับแพ้น็อกขึ้นมา ตำนานที่สร้างไว้จะมีมลทิน

     แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเขากลับชนะขึ้นมาได้ เขาจะทำลายสถิติการชนะสูงสุดตลอดกาลของ ร็อกกี้ มาร์ซีอาโน ซึ่งหยุดอยู่เท่ากันที่ชก 49 ชนะ 49 ครั้ง

     มันเป็นราคาที่น่าเดิมพัน

     และเขามั่นใจว่าเขา ‘ได้’ แน่

 

Photo: UFCEurope/twitter

 

เวทีแจ้งเกิดของเจ้าชายแห่ง UFC

     จิ๊กโก๋ปากหมา

     ผมคิดว่าคำนี้น่าจะเป็นคำจำกัดความง่ายๆ หากเราจะตัดสิน คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ ที่รูปลักษณ์ บุคลิก และอุปนิสัยภายนอก

     ความยียวนกวนประสาท คำผรุสวาทที่อุบาทว์ชาติชั่ว มันชวนให้แอบคิดตามว่าเขาเกิดและเติบโตมาแบบไหนในดับลิน

     ใช่เมืองเดียวกับหนังเพลงในความทรงจำเรื่อง Sing Street แน่หรือเปล่า

     แต่หากคนที่รู้จักและเข้าใจเขามากพอ ย่อมรู้ว่าแม็กเกรเกอร์ไม่ใช่คนแบบที่เราควรจะตัดสินเขาแค่ภายนอก (ซึ่งความจริงเราก็ไม่ควรตัดสินใครจากแค่ภายนอกอยู่แล้ว จริงไหม)

     ไอ้จิ๊กโก๋คนนี้คือ ‘นักสู้’ ที่แท้จริงคนหนึ่ง

 

Photo: UFCEurope/twitter

 

     จากช่างประปาที่ไร้อนาคต เขาสู้จนมาถึงการเป็นนักกีฬาระดับ ‘ซูเปอร์สตาร์’ ของโลก

     จากคนที่ไม่สนใจในการเรียน ถูกครอบครัวบังคับให้ทำงานหารายได้ และเคยสิ้นหวังมาแล้ว ทุกวันนี้เขาพร้อมจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ครอบครัวของเขามีกินมีใช้และมีความสุข

     จากคนที่ถูกพ่อแม่ตั้งคำถามและหยามหยันว่า “มีนักมวยไอริชคนไหนประสบความสำเร็จบ้าง” ณ เข็มนาฬิกาที่กำลังเดินไปนี้ เขากำลังจะมีรายได้เข้าบัญชี 100 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการขึ้นเวทีแค่ครั้งเดียว

     โดยส่วนตัว -ผมคิดว่าคนแบบนี้น่านับถือ

     อย่างน้อยเขาทำจริง และทำได้

     และสำหรับคนไอริช แม็กเกรเกอร์คือ ‘วีรบุรุษ’ ของชาติ ถึงบางคนจะไม่อยากยอมรับก็ตาม

     สำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ ถึงแม็กเกรเกอร์จะรู้ลึกๆ ว่า ‘เป็นรอง’ เพราะถึงเขาจะเป็นนักสู้ฝีมือฉกาจคนหนึ่งที่มีจุดเด่นในเรื่องของการใช้กำปั้นเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้ MMA (ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน) แต่มันไม่ได้แปลว่าเขาจะขึ้นชกมวยสากลอาชีพได้

     แต่อย่างน้อยที่สุด นี่คือโอกาสที่เขาจะได้ ‘ลอง’

 

Photo: John GURZINSKI/AFP

 

     และมันเป็นการได้ลองกับโคตรมวยแห่งยุคอย่าง ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ นักกีฬาที่เขาอิจฉามานาน เพราะสามารถทำเงินได้มากมายมหาศาลจากการขึ้นชกครั้งเดียว ซึ่งตัวเลขนั้นแตกต่างจากที่เขาได้รับจากการต่อสู้ในกรง 8 เหลี่ยม (Octagon) ของ UFC มากมายหลายเท่า

     ความจริงแม็กเกรเกอร์ไม่ได้แค่ต้องการจะลอง เพราะเขามองไปถึงการขยายอาณาจักรมาสู่สังเวียนผืนผ้าใบในฐานะนักมวยอาชีพจริงๆ

     เขาพร้อมจะเป็นทั้งนักสู้ MMA และนักมวยอาชีพในเวลาเดียวกัน และมีเป้าหมายที่การ ‘พิชิต’ ทั้งสองเวทีให้ได้ด้วย

     การขึ้นเวทีกับฟลอยด์เป็นการแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการของเขา นอกเหนือจากการเป็นเจ้าชายแห่ง UFC เขายังอยากเป็นสิงห์หมัดซ้าย (southpaw) ที่น่าเกรงขามด้วย

     และนั่นคืออีกรางวัลที่คุ้มค่า นอกเหนือจากรายได้มหาศาล

     โดยที่เขาไม่มีอะไรจะเสียแม้แต่นิดเดียว

 

Photo: UFCEurope/twitter

 

Fight of the Century หรือ ‘ปาหี่แห่งศตวรรษ’

     อ่านคำวิจารณ์สำนักไหน จะกูรูหรือนักมวยดังระดับตำนานคนใด ทุกคนเชื่อหมดว่างานนี้ฟลอยด์ปิดประตูแพ้

     ไม่มีใครคิดว่าแม็กเกรเกอร์จะชนะเลยแม้แต่คนเดียว

     เหตุผลก็อย่างที่บอกครับ ไฟต์นี้เป็นการชกมวยสากล ซึ่งฟลอยด์มีประสบการณ์มากว่า 21 ปี และในระดับมวยอาชีพแล้ว เขาไม่เคยแพ้ใครแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าคู่แข่งจะเก่งขนาดไหนก็ตาม

     จะขาดลอย สูสี หรือน่ากังขา บทสรุปสุดท้ายก็เหมือนกัน คือ ‘พริตตี้บอย’ เป็นผู้ชนะทุกครั้ง

     ยิ่งครั้งนี้เป็นการชกกับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการชกมวยอาชีพมาก่อนเลยอย่างแม็กเกรเกอร์ ต่อให้สด เก๋า ห้าวมาจากไหน ก็ไม่มีความหมายในสายตาของเหล่าผู้รู้

     ไม่ใช่แค่ตำนานมวยอย่าง ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด, เลนน็อกซ์ ลูอิส, ออสการ์ เดอ ลา โฮยา รวมถึง อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ ที่คิดแบบนั้น

     ระดับตำนานคิกบ๊อกซิ่งอย่าง เฮนรี ฮูฟต์ และ พอล ดาร์ลีย์ เองก็คิดแบบเดียวกัน

     พอล ดาร์ลีย์ มองว่าไฟต์นี้เป็นการจับคู่ที่ไม่เท่าเทียม เพราะศิลปะการต่อสู้ทั้งสองอย่างนั้นแตกต่างกันมาก ตัวเขาซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการขึ้นชกกับนักมวยของกองทัพบกอังกฤษยังสู้ไม่ได้ ทั้งๆ ที่นักมวยเหล่านั้นไม่ใช่ระดับนักชกโอลิมปิกด้วยซ้ำไป

     มันชวนให้คิดถึงไฟต์พิลึกระหว่าง มูฮัมหมัด อาลี กับ อันโตนิโอ อิโนกิ นักมวยปล้ำญี่ปุ่นที่โด่งดังเมื่อปี 1976 ซึ่งไฟต์นี้กลายเป็น ‘ปาหี่’ ที่แฟนกีฬาไม่ตลกด้วย เพราะไม่ได้สมราคาคุยก่อนจะขึ้นสู้กันแม้สักนิด

     เป็นหน้าประวัติศาสตร์ที่ด่างพร้อย

     อย่างไรก็ดี ตราบใดที่เสียงระฆังแรกยังไม่ดังขึ้น เราต่างยังมีความหวังครับว่ามันอาจจะเป็นไฟต์ที่ดีก็ได้

     มันอาจจะสูสี แม็กเกรเกอร์อาจจะมีลูกฮึด หรือฟลอยด์จะแสดงชั้นเชิงมวยระดับสุดยอดให้เราได้เห็นกันหลายๆ ยกหน่อย

     ให้สมกับการเป็นไฟต์ราคา 600 ล้านเหรียญสหรัฐ

     ให้สมกับสิ่งที่โม้กันแหลกตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

     แต่บทสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไร คงต้องรอเสียงระฆังสุดท้ายดังขึ้นเท่านั้นครับ

FYI
  • จุดเริ่มต้นการพบกันของคู่นี้เกิดจากการที่แม็กเกรเกอร์ ถูกตั้งคำถามว่าเขาอยากจะมีโอกาสขึ้นสู้กับฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ สักครั้งหรือไม่? คนที่ตั้งคำถามดังกล่าวคือ โคนัน โอไบรอัน และกลายเป็นสงคราม trash-talk จนนำไปสู่การเผชิญหน้ากันในที่สุด
  • น่าจะมีคนสงสัยบ้างว่า รอยสักที่โดดเด่นบนหน้าอกของแม็กเกรเกอร์คืออะไร? คำตอบคือลายรูปลิงกอริลลาหลังเงิน (silverback gorilla) ที่สวมมงกุฎและถือหัวใจไว้ที่ปาก
  • นอกจากบนหน้าอกแล้ว แม็กเกรเกอร์ยังมีรอยสักทั่วตัว โดยรอยสักแรกของเขาเป็นการสักที่บริเวณใกล้ส้นเท้าซ้าย เป็นข้อความภาษาอารบิกที่เขาก็ไม่รู้ว่ามันมีความหมายว่าอะไร เพราะสักตอนเมา….
  • เดิมมีการคาดหมายว่าไฟต์นี้จะทำเงินสูงสุดตลอดกาล โดยคาดหวังว่าตัวเลขจะมากกว่าไฟต์ระหว่าง ‘ฟลอยด์-ปาเกียว’ ที่เคยทำได้ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • สนนราคาค่าเข้าชมที่ T-Mobile Arena ตั๋วมีราคาตั้งแต่ 1,500-10,000 เหรียญสหรัฐ โดยสนามมีความจุ 20,000 คน มากกว่าสังเวียน MGM Grand ในลาสเวกัส ที่มีความจุ 17,000 คน
  • มีการคาดหมายว่าจะขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดแบบเพย์เพอร์วิว (pay-per-view) ได้ใกล้เคียงกับไฟต์ระหว่าง ฟลอยด์-ปาเกียว ที่ทำไว้ 430 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • ที่อังกฤษ หากจะชมคู่นี้ต้องจ่าย 19.95 ปอนด์ ส่วนที่ไอร์แลนด์ บ้านเกิดของแม็กเกรเกอร์ ต้องจ่าย 24.95 ยูโร และที่สหรัฐอเมริกา อาจต้องจ่ายสูงสุดถึง 99.99 เหรียญสหรัฐ เพื่อชมเกมคู่นี้ทางทีวีที่บ้าน
  • ส่วนคนไทยดูฟรี (เย้) ทางช่อง Workpoint TV และแอปพลิเคชัน LINE TV
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X