ตลาดหุ้นทั่วโลกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-time Highs) ในสัปดาห์นี้ เนื่องจากความเชื่อมั่นและความหวังเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจได้กลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายแนะนำว่า นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ควรระมัดระวัง เนื่องจากการประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีอาจทำให้การเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นครั้งนี้ไม่ยั่งยืน
ช่วงเวลาแห่งการประกาศผลประกอบการของตลาดหุ้นยุโรปและผลประกอบการของหุ้น NVIDIA ในสหรัฐฯ ช่วยดันดัชนีหุ้นทั่วโลกให้ซื้อขายในแดนบวก ดัชนี DAX ของเยอรมนี และ CAC ของฝรั่งเศส ทำจุดสูงสุดตลอดกาล เช่นเดียวกับดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่น ทะลุระดับสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อปี 1989 ขณะที่ดัชนี S&P 500 กำลังมุ่งหน้าสู่การเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ส่งผลให้ดัชนี MSCI ACWI ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นทั่วโลก พุ่งขึ้นมาทำจุดสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่
Oliver Bäte ซีอีโอของบริษัท Allianz ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการประมาณ 1.85 ล้านล้านดอลลาร์ กล่าวว่า เขาระมัดระวังอย่างมากเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าบางส่วนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เขามองว่ากระแสนวัตกรรม AI ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และการคาดหวังที่สูงขึ้นอาจนำไปสู่เศรษฐกิจโลกที่ซบเซา
โดยหุ้นที่ได้อานิสงส์อย่างมากอย่างหุ้น NVIDIA เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ปรับตัวขึ้น 16% หลังจากบริษัทประกาศว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น 265% เมื่อปีก่อน จากความต้องการชิป AI ที่เพิ่มสูงขึ้น สิ่งนี้ทำให้มูลค่าตลาดของ NVIDIA เพิ่มขึ้น 2.76 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในหนึ่งวันของบริษัทใดๆ ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ทางด้าน Philippe Ferreira รองผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐศาสตร์และกลยุทธ์สินทรัพย์จาก Kepler Cheuvreux ตั้งคำถามว่า กระแส AI จะขับเคลื่อนตลาดให้สูงขึ้นไปอีกนานแค่ไหน เขามองว่ากระแส AI อาจดำเนินต่อไปอีกเล็กน้อย แต่การที่ดัชนีเริ่มเข้าใกล้ระดับทางเทคนิคที่สำคัญอาจเกิดแรงขายทำกำไรครั้งใหญ่ได้
นอกจากนี้ Philippe ยังมองว่าตลาดขาดตัวเร่งปฏิกิริยาพื้นฐานที่สำคัญ เมื่อเทียบกับมูลค่าที่เพิ่มขึ้นสูงเกินไป เขายังมีความกังวลมากมายเกี่ยวกับตลาดสินเชื่อและตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยมองว่านี่เป็นสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก
นอกจากเรื่องกระแสของ AI ทางด้าน Aoifinn Devitt ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนของกลุ่มที่ปรึกษาการลงทุน Moneta แสดงความกังวลเกี่ยวกับการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่น เธอกล่าวว่าการเคลื่อนไหวที่สูงขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ดูเหมือนจะเบี่ยงเบนความสนใจไปจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดที่ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อาจเป็นตัวกำหนดว่าตลาดจะปรับตัวขึ้นต่อไปได้หรือไม่ ดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ชื่นชอบ ตัวเลขที่ร้อนแรงเกินคาดอาจสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดได้ เนื่องจากเวลานี้ตลาดกำลังถกเถียงเกี่ยวกับช่วงเวลาของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ซึ่งถูกเลื่อนออกไป
อ้างอิง:
