ประเทศพัฒนาแล้วตั้งแต่สหรัฐฯ ไปจนถึงฝรั่งเศสกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่ยากลำบากทางการคลัง ท่ามกลางหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงและความขัดแย้งทางการเมืองที่ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกจับตามอง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยว่า ปัจจุบันหนี้สาธารณะทั่วโลกพุ่งแตะระดับ 99 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่
ประเด็นวิกฤตการคลังและความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในกลุ่มประเทศ G7 กลับกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจ ทั้งจากสหรัฐฯ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ไปจนถึงสหราชอาณาจักร
ในสหรัฐฯ ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลของประธานาธิบดี Donald Trump กับสภาคองเกรสเรื่องงบประมาณอาจทวีความรุนแรง หาก Trump เดินหน้าปลดพนักงานรัฐบาลกลางแทนการพักงานชั่วคราวตามที่เคยขู่ไว้ ล่าสุดสหภาพแรงงานซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงานรัฐบาลหลายแสนคนได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้สั่งห้ามการเลิกจ้างหมู่ล่วงหน้า
การชัตดาวน์ของหน่วยงานรัฐบาลกลางได้ทำให้ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลายชุดถูกเลื่อนออกไป รวมถึงรายงานตัวเลขการจ้างงานเดือนกันยายนที่ปกติจะเผยแพร่ในวันศุกร์ ทำให้ตลาดต้องอาศัยข้อมูลจากภาคเอกชนแทน ซึ่งสะท้อนว่าตลาดแรงงานยังคง “อ่อนแอแต่ทรงตัว” ในวันพุธ นักลงทุนจะจับตารายงานการประชุม Fed Minutes เพื่อหาสัญญาณว่ากรรมการมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยอีกหรือไม่ หลังเพิ่งปรับลดครั้งแรกของปีเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ฝรั่งเศสกำลังเร่งจัดทำงบประมาณใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตการคลัง โดยประธานาธิบดี Emmanuel Macron เพิ่งแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ Sebastien Lecornu และตั้ง Roland Lescure เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รัฐบาลชุดใหม่นี้จะต้องผลักดันร่างงบประมาณปี 2026 ให้ผ่านสภา ทั้งที่ไม่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างหนัก
ที่ญี่ปุ่น Sanae Takaichi ซึ่งเพิ่งชนะการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP เมื่อวันเสาร์ เตรียมขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก เพื่อรับมือกับภาระหนี้สาธารณะใหญ่ที่สุดในโลก
ในสหราชอาณาจักร รัฐมนตรีคลัง Rachel Reeves กำลังเร่งจัดทำงบประมาณใหม่ซึ่งจะเปิดเผยในเดือนพฤศจิกายน ท่ามกลางแรงกดดันจากนักลงทุนที่กังวลต่อระดับหนี้ของประเทศ ขณะเดียวกัน สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings เตรียมประกาศประเมินสถานะการคลังของอังกฤษใหม่ในวันศุกร์นี้
ท่ามกลางปัญหาของประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ อิตาลีกลับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีแนวโน้มทางการคลังดีขึ้น ล่าสุดอิตาลีกำลังจะหลุดพ้นจากรายชื่อประเทศที่มี “การขาดดุลเกินขอบเขต” ของสหภาพยุโรป และเพิ่งได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch Ratings เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021
การประชุมรัฐมนตรีคลังของสหภาพยุโรปในวันพฤหัสบดีนี้ มีวาระสำคัญเรื่องการจัดสรรงบประมาณระยะหลายปีของสหภาพฯ ซึ่งคาดว่าจะกลายเป็นเวทีแห่งความขัดแย้งระหว่างประเทศสมาชิก โดยภาพรวมสะท้อนว่า “ความแตกแยกทางการเมือง” กำลังบั่นทอนศักยภาพของเศรษฐกิจยุโรป ขณะที่แต่ละประเทศเผชิญภาระหนี้ที่สูงขึ้น
Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะขึ้นให้การต่อรัฐสภายุโรปในวันจันทร์ เพื่อชี้แจงแนวทางนโยบายท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่กลับมาสูงสุดในรอบ 5 เดือน และในวันพฤหัสบดี ECB จะเผยแพร่รายงานเบื้องหลังการประชุมนโยบายเมื่อ 11 กันยายน
ฝั่งเอเชีย สัปดาห์นี้คาดว่าจะมี 3 ธนาคารกลางลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) จะเริ่มก่อนในวันพุธ โดยนักเศรษฐศาสตร์ยังเห็นต่างว่าควรลด 0.25% หรือ 0.50% จากระดับปัจจุบันที่ 3% ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.50% เหลือ 1.25% หลังเงินเฟ้อลดลงติดต่อกัน 6 เดือน และรัฐบาลแสดงความกังวลต่อค่าเงินบาทที่แข็งเกินไป ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) คาดว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมไว้ที่ 5% แต่ลดดอกเบี้ยเงินฝากลงจาก 4.50% เหลือ 4.375%
ภาพรวมเน้นย้ำว่าความขัดแย้งทางการเมืองกำลังสร้างความตึงเครียดให้กับเศรษฐกิจหลักๆ และถูกทดสอบเพิ่มเติมด้วยทางเลือกที่บังคับให้รัฐบาลต้องเลือกจากการกู้ยืมเงินจำนวนมาก ประเทศพัฒนาแล้วจำนวนมากเข้าสู่ “กับดักหนี้” (debt trap) ที่ทำให้รัฐบาลต้องเลือกว่าจะ “ลดหนี้” ด้วยมาตรการรัดเข็มขัดซึ่งเสี่ยงทำให้เศรษฐกิจชะลอ หรือ “เพิ่มหนี้” เพื่อซื้อเวลาและรักษาความนิยมทางการเมือง
นักวิเคราะห์หลายฝ่ายเตือนว่า ความขัดแย้งทางการเมืองและการตัดสินใจทางงบประมาณที่ล่าช้า กำลังทำลายความเชื่อมั่นต่อตลาดพันธบัตรของประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลทั่วโลกสูงขึ้น
ภาพ: timandtim/Getty Images
อ้างอิง: