แม้ ‘แว่นตา’ จะถูกมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แต่ยังสามารถเติบโตได้ เพราะถือเป็นของจำเป็น ดังนั้นแม้เศรษฐกิจไม่ดีคนก็ต้องซื้อ
เหตุผลนี้เองทำให้ตลาดค้าปลีกแว่นตาของไทยในปี 2565 มีมูลค่าประมาณ 7 พันล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 14% เป็นประมาณ 8 พันล้านบาท
ที่สำคัญประเทศไทยเป็นตลาดแว่นฟังก์ชันนัลที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน (ที่ 2 มาเลเซีย) โดยส่วนใหญ่คนใส่แว่นฟังก์ชันมักจะซื้อแว่นแฟชั่นด้วยเพื่อเอาไว้ใช้บางโอกาส เช่น เที่ยว เดินห้าง ซึ่งความถี่ในการเปลี่ยนแว่นสายตาจะอยู่ที่ 2-3 ปี ส่วนแว่นแฟชั่นจะอยู่ที่ 1-2 ปี
ทั้งหมดนี้ทำให้กลายเป็นโอกาสที่ Glassiq (กลาสสิค) สตาร์ทอัพแว่นตาเจ้าแรกของไทย ที่แต่เดิมขายอยู่ในออนไลน์ มองเห็นจึงได้ตัดสินใจกระโดดเข้ามาสู่โลกออฟไลน์ในที่สุด โดยได้เปิดตัวแฟลกชิปสโตร์ครั้งแรก ‘Glassiq @EMSPHERE’ ชั้น 2 ทำเลทองใจกลางสุขุมวิทแห่งใหม่
พิริยะ ตันตราธิวุฒิ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์แว่นตา Glassiq และ CMO บริษัท วิชั่น เวนเจอร์ส จำกัด เล่าย้อนกลับไปว่า Glassiq ก่อตั้งเมื่อปี 2559 โดยวางจำหน่ายรูปแบบออนไลน์อย่างครบวงจร ด้วยคอนเซปต์จากการเห็น Pain Point การจำหน่ายแว่นตาแบบเดิมที่มีราคาสูงและขั้นตอนที่มากมาย จึงต้องการทำร้านแว่นที่เน้นความสะดวก สบาย ทันสมัย และเป็นมิตร
ถัดมาในปี 2565 Glassiq ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท วิชั่น เวนเจอร์ส จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจครบวงจรทั้งนำเข้าและจัดจำหน่าย ค้าปลีก ค้าปลีกออนไลน์ ในผลิตภัณฑ์กรอบแว่นตา เลนส์สายตา เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแว่นตา
ทำให้นับแต่นั้นเป็นต้นมา Glassiq ได้เข้าไปอยู่ร่วมกับบริษัท นำศิลปไทย จำกัด ผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายกรอบแว่นตา เลนส์แว่นตา เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแว่นตา และหอแว่น เป็นร้านแว่นตาที่ให้บริการปรึกษาปัญหาสายตาและตรวจวัดสายตาที่เปิดมานานกว่า 50 ปี
หลังการควบรวมได้รีแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ Glassiq ที่เดิมใช้ชื่อว่า Glazziq เพื่อให้จดจำง่าย พร้อมเปลี่ยนโลโก้ (Logo) ใหม่ให้ทันสมัยขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ Glassiq และหอแว่นจะขายแว่นเหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ หอแว่นจะจับกลุ่มลูกค้าที่มีอายุเยอะมากกว่า เพราะเป็นร้านที่เปิดมานาน ขณะที่ Glassiq จะจับกลุ่มที่เด็กกว่าและเปลี่ยนแว่นบ่อย เพราะเติบโตมาจากการเป็นสตาร์ทอัพ
ผู้ก่อตั้ง Glassiq ระบุว่า แม้ Glassiq เป็นสตาร์ทอัพแว่นตาเจ้าแรกของไทยที่เพิ่งทลายกรอบจากร้านค้าออนไลน์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก้าวสู่การเปิดร้านแฟลกชิปสโตร์ที่ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ครั้งแรก แต่มั่นใจว่าจะสามารถเติบโตจากการมีสินค้าคุณภาพไม่แพ้แบรนด์ในราคาที่เข้าถึงได้ เพราะทีมงาน Glassiq ออกแบบเอง และผลิตกับโรงงานในประเทศเกาหลีใต้ที่เชี่ยวชาญด้านการใช้วัสดุคุณภาพและกระบวนการผลิตแว่นตา ทำให้ได้ราคาที่สมเหตุสมผล
ที่สำคัญการมีพาร์ตเนอร์โดยตรงกับ Thai Optical Group ทำให้ได้เลนส์สายตาในราคาที่เหมาะสม โดยราคาสินค้า กรอบพร้อมเลนส์เริ่มต้น 1,990 บาท สำหรับเลนส์สายตาจะได้รับเลนส์ย่อบาง 1.6 หรือ 1.67 ฟรี หรือสำหรับเลนส์ที่ไม่มีค่าสายตาสามารถเปลี่ยนเป็นเลนส์ย้อมสีแฟชั่นหรือเลนส์กันแดดได้
นอกจากนี้ ในแง่ของการบริการก็ทำให้เปลี่ยนไป โดยตั้งใจให้เน้นความเป็น Omnichannel เทคโนโลยีทันสมัย ลูกค้าสามารถเลือกซื้อแว่นได้ง่ายเหมือนการซื้อเสื้อผ้า เพียงเข้าเว็บไซต์เพื่อดูกรอบแว่นจากแคตตาล็อก ศึกษารายละเอียดของแว่นแต่ละรุ่นได้ตั้งแต่ที่บ้าน
ซึ่งเมื่อมาที่ร้านค้าสามารถรอรับกรอบแว่นพร้อมเลนส์ที่หน้าร้านได้เลยภายใน 20 นาทีหลังจากชำระเงิน ยกเว้นกรณีที่ลูกค้ามีค่าสายตาซับซ้อน) นอกจากนี้ยังมีการรับประกันสินค้า BVAX Warranty เปลี่ยนเลนส์ได้ฟรีภายใน 1 ปีหากใส่ไม่สบาย และบริการหลังการขายตลอดอายุการใช้งานมอบให้ด้วย
“การเปิดร้าน Glassiq @EMSPHERE นับเป็นอีกความท้าทายครั้งใหญ่ที่ Glassiq สตาร์ทอัพแว่นตาเจ้าแรกของไทย ซึ่งเราตั้งใจมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้แก่คนรุ่นใหม่ วัยรุ่น และวัยทำงาน ตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 10,000 ตัวภายในปี 2567” พิริยะกล่าวพร้อมกับเสริมว่า ยอดขายดังกล่าวนั้นจะมาจากการเปิดร้านที่วางแผนไว้อีก 2 สาขาในปีหน้า