เคยคิดไหมว่า ทำไมสโมสรถึงไม่ยอมซื้อผู้เล่นคนนั้น ขายคนโน้น ไม่ตั้งโค้ชคนนี้ แล้วทำไมไม่จัดทีมกันแบบนี้
คนนั้น คนนี้ คนโน้น เหล่านี้คือเรื่องของความรัก ความผูกพัน ความฝัน และความทะเยอทะยานที่อยู่ในใจของแฟนฟุตบอลทุกคนไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนก็ตาม เพียงแต่ที่เราทำได้มากที่สุดคือการเปลี่ยนความรู้สึกคับข้องใจนี้ไปลงในเกม ไม่ว่าจะเป็น Football Manager หรือ Fantasy Football ที่เราจะมีโอกาสทำโน่นทำนี่อย่างที่คิดได้เองโดยไม่ต้องง้อใคร
แต่ถ้าสมมติมีใครสักคนเดินมาบอกกับคุณว่า “มาเป็นเจ้าของทีมด้วยกันไหม แล้วเราจะตัดสินใจทุกเรื่องด้วยการโหวต ไม่ว่าจะจัดทีมแบบไหน จะเล่นระบบไหน แผนไหน เรามีสิทธิ์จะเลือกกันเอง”
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่ความคิด แต่เคยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมาแล้วในปี 2007 และกำลังจะกลับมาอีกครั้งในปี 2025
ขอแนะนำให้รู้จัก ‘FC100,000’ โปรเจกต์สุดแฟนตาซีภาคต่อที่ขอไปให้ไกลกว่าเดิมหลังเรียนรู้จากความเจ็บปวดในอดีต
แต่ก่อนที่เราจะพูดถึง FC100,000 อย่างแรกที่เราควรจะรู้ก่อนคือภูมิหลังของเรื่องราว แบ็กกราวด์ความเป็นมาทั้งหมด
ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อปี 2007 จากความคิดของอดีตผู้สื่อข่าวและก๊อปปี้ไรเตอร์ที่ชื่อ วิลล์ บรูกส์
บรูกส์ก็ไม่ต่างอะไรจากเราๆ ที่หลงรักและหลงใหลในเกมฟุตบอล และเกิดคำถามว่ามันจะเป็นไปได้ไหมที่เราจะมีสโมสรฟุตบอลสักแห่งที่ไม่ได้มี ‘นายทุน’ เป็นเจ้าของสโมสร
ทุนรอนของสโมสรจะมาจากการลงขันร่วมกันของสมาชิกทุกคนที่จะเสียเงินค่าสมาชิกรายปีแค่ไม่กี่สตางค์ โดยที่สโมสรแห่งนี้จะใช้วิถีประชาธิปไตยในการตัดสินใจทุกเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญอย่างการจัดทีมผู้เล่นเพื่อลงสนาม
เมื่อตกผลึกไอเดียได้คร่าวๆ บรูกส์ตัดสินใจที่จะเขียนบอกเล่าเรื่องราวอย่างสั้นที่สุดด้วยข้อความเพียงแค่ 100 คำลงบนหน้าเว็บไซต์ที่ทำขึ้นแบบง่ายๆ เหมือนไข่ลวก
“เราจะเป็นเจ้าของทีมร่วมกัน แค่คุณจ่ายค่าสมาชิกรายปีเพียงปีละ 35 ปอนด์”
จากสารตั้งต้นของบรูกส์ที่ขอให้ทุกคนที่ได้เห็นข้อความนี้ช่วยกันส่งอีเมลไปถึงทุกคนที่รู้จักและรักในเกมฟุตบอลเพื่อมาร่วมด้วยช่วยกัน เรื่องนี้ได้กลายเป็น ‘ไวรัล’ ในยุคสมัยนั้น ซึ่งยังไม่มีใครรู้จักคำว่าโซเชียลมีเดียด้วยซ้ำไป และได้รับการตอบรับกลับมาอย่างมากมายมหาศาล
พลังของอินเทอร์เน็ตทำให้มีแฟนฟุตบอลมากกว่า 53,000 จาก 80 ประเทศทั่วโลกลงทะเบียนความสนใจ คนแปลกหน้ามากกว่า 20,000 คนตอบรับกลับมาว่า “เอาด้วย”
เพลง ยินดีที่ไม่รู้จัก ทุ้มขึ้นในใจของบรูกส์ แต่แค่นั้นยังไม่พอเพราะเมื่อสำนักข่าวใหญ่อย่าง BBC Sport ช่วยกระพือข่าวเรื่องนี้ด้วยว่า “แฟนๆ กำลังมีโอกาสที่จะเทกโอเวอร์สโมสรฟุตบอล” ก็ยิ่งทำให้เรื่องนี้มัน Go so big กันใหญ่ เพราะช่วงของการระดมทุนนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่สโมสรใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังมีข่าวการเทกโอเวอร์ที่ เรย์ แรนสัน อดีตตำนานของทีมกำลังเปิดศึกช่วงชิงอำนาจกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น พอดี
ในฟอรั่ม (เว็บบอร์ด) ที่ตั้งขึ้นเริ่มมีคำถามสำคัญแล้ว
“พวกเราจะไปซื้อทีมไหนดี?”
เพราะนี่จะเป็น ‘MyFootballClub’ (MyFC) หรือ ‘สโมสรของฉัน’ ที่ทุกคนได้เป็นเจ้าของด้วยกัน
ภาพตัดกลับมาในปี 2010 หรืออีก 3 ปีให้หลัง
บรูกส์เข้ามานั่งชมเกมสโมสรฟุตบอลของเขาและของใครอีกหลายคน แต่สถานการณ์ของทีมในเวลานั้นย่ำแย่ ทีมเผชิญกระแสความกดดันอย่างหนัก และประสบปัญหาที่หนักยิ่งกว่าในเรื่องของการเงิน
“ไอ้บรูกส์อะไรนั่นมันไม่โผล่หัวมาที่นี่หรอก” แฟนบอลรายหนึ่งสบถขึ้นในระหว่างเกมขึ้นมา เมื่อบรูกส์ได้ยินก็แสดงตัวว่าเขาเองก็มานั่งดูเกมด้วยเหมือนกัน จนแฟนบอลรายดังกล่าวที่เดือดดาลต้องเอ่ยปากขอโทษ แต่ก็พยายามบอกว่าทีมต้องการเงินอีกมากเพื่อจะทำทีมให้สู้กับคนอื่นได้
ทีมที่ว่าของชาว MyFC คือสโมสรฟุตบอลในระดับดิวิชัน 5 ของอังกฤษอย่าง เอ็บส์ฟลีต ยูไนเต็ด – ซึ่งเพิ่งจะเปลี่ยนชื่อมาจากเกรฟเซนด์ แอนด์ นอร์ทฟลีต แค่ไม่นานก่อนที่บรูกส์จะนำทุนที่ได้จากสมาชิกจำนวน 32,000 คนที่ไม่ใช่แค่สนใจแต่ขอ ‘เอาด้วย’ เพื่อติดต่อขอเทกโอเวอร์สโมสรมาเป็นของพวกเขาในปี 2007
ในช่วงฤดูกาลแรกนั้นทุกอย่างยังคงสวยงามเหมือนเดินเล่นในทุ่งดอกบัวตอง พวกเขาได้ผ่านเข้าไปเล่นนัดชิงชนะเลิศรายการเอฟเอ โทรฟี ที่สนามเวมบลีย์และคว้าแชมป์ได้ด้วย และจบฤดูกาลในอันดับที่ 11 ของลีกระดับที่ 5 ของอังกฤษ
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่ได้ ‘จัดทีมเอง’ ตามที่ฝันไว้เพราะในชีวิตจริงเป็นเรื่องยากอย่างมาก ซึ่งแม้จะมีความพยายามในการให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อทุกคนในการตัดสินใจว่าจะเลือกผู้เล่นคนไหนลงสนามด้วยสถิติจาก ‘Prozone’ แต่สุดท้ายสมาชิกทุกคนเห็นด้วยที่จะเจอกันครึ่งทางด้วยการโหวตว่าจะให้ผู้จัดการทีมเลือกทีมเอง หรือสมาชิกเลือก ซึ่งที่สุดแล้วผลโหวตจะยอมให้ผู้จัดการทีมเลือกทีมเองเสมอ
แต่อย่างน้อยในการตัดสินใจเรื่องสำคัญคนที่เป็นสมาชิกก็ได้สิทธิ์ในการโหวต และการขาย จอห์น อคินเด กองหน้าตัวเก่งของทีมให้บริสตัล ซิตี้ ในราคา 140,000 ปอนด์ก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่การซื้อขายที่ได้รับการอนุมัติจากการโหวตออนไลน์
เรียกได้ว่าในช่วงเวลาหนึ่ง ‘MyFC’ คือปรากฏการณ์ของสโมสรฟุตบอลที่พลิกทุกกฎและดูเหมือนเป็นความหวังใหม่ของวงการ
แต่ไม่นานโลกของความจริงก็ตามพวกเขามาทัน เพราะเกมฟุตบอลยุคสมัยใหม่คือฟุตบอลแบบทุนนิยม พวกเขาต้องใช้เงินเพื่อลงทุนทุกอย่าง และนั่นคือปัญหาที่ตามมาเพราะเงินไม่เพียงพอ
“เราเพิ่งจะอัดเงินลงไป 1.5 ล้านปอนด์แต่ก็ยังไม่พอ” บรูกส์พูดถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากในตอนนั้น ก่อนที่เขาจะตัดสินใจว่าไปต่อไม่ไหวแล้วจึงยอมขายหุ้นที่มีของตัวเองออกไป
เรื่องราวของ MyFC ก็กลายเป็นเรื่องเล่าที่ค่อยๆ ถูกลืม เช่นกันกับอนาคตของเอ็บส์ฟลีต ยูไนเต็ด ที่ไม่มีใครยินดียินร้ายอีกต่อไป และสุดท้ายก็มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของเป็นนายทุนในเวลาต่อมา (ปัจจุบันเป็นทีมท้ายตารางอยู่ในดิวิชันเดิม)
แต่ความรู้สึกในวันนั้นและความฝันที่อยากจะเห็นสโมสรฟุตบอลของแฟนบอลคืนชีพอีกครั้งทำให้บรูกส์ตัดสินใจที่จะเริ่มต้นโปรเจกต์ครั้งใหม่อีกครั้ง โดยที่ตัวเขาเรียนรู้ข้อผิดพลาดมากมายในช่วงเวลาของ MyFC
โดยเฉพาะในเรื่องของการเงิน
ปัญหาใหญ่ในเวลานั้นคือความอ่อนด้อยประสบการณ์ในเรื่องธุรกิจฟุตบอล การตัดสินใจทุ่มเงินที่ได้จากสมาชิกเพื่อซื้อหุ้น 75 เปอร์เซ็นต์ของสโมสร ซึ่งคิดเป็นเงินราว 750,000 ปอนด์ ด้วยการจ่ายเงินก้อนเดียวคือความผิดพลาดที่ร้ายกาจ เพราะทำให้ทีมขาดกระแสเงินสดทันที
อย่างต่อมาคือกระบวนการเทกโอเวอร์สโมสรกินระยะเวลานานกว่าจะเสร็จสิ้นคือ 18 เดือนให้หลัง ทำให้การต่ออายุสมาชิกหนแรกช้ากว่าที่ควรจะเป็น 6 เดือน
และปัญหาใหญ่กว่านั้นคือการที่สมาชิกเริ่มไม่อินแล้ว จำนวนสมาชิกลดลงอย่างมากจาก 32,000 เหลือ 12,000 และ 9,000 คนในปีต่อๆ มา ทั้งๆ ที่มีการคำนวณกันว่าหาก MyFC จะยังอยู่ต้องมีจำนวนสมาชิกอย่างน้อย 20,000 คน
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่บรูกส์เก็บไว้ในใจมาตลอด และได้เริ่มทำการศึกษาเพื่อหาทางออกอย่างจริงจังกับโปรเจกต์ที่เขาเรียกในทีแรกว่า ‘MyFootballClub 2.0’ โดยได้มีการหารือกับคนที่ทำงานด้านการบริหารในวงการฟุตบอล, แผนกจัดหาคนซึ่งสำคัญอย่างมาก, เรื่องการทำการตลาดและแบรนดิ้ง, เรื่องการสร้างคอนเทนต์และวิธีการมีส่วนร่วมของแฟนๆ (Fan Engagement) ไปจนถึงวงการเกมออนไลน์
นั่นนำไปสู่แผนใหม่ของบรูกส์ที่เรียกว่า ‘FC100,000 ที่จะแบ่งออกเป็น 5 ขั้นในการสร้างชุมชนฟุตบอลออนไลน์เพื่อระดมทุนทำงานใหญ่กันอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้จะซื้อหุ้นของสโมสรฟุตบอลเพียงแค่ ‘50+1’ แนวคิดที่คล้ายกับวงการฟุตบอลเยอรมนี
ทุกอย่างจะเริ่มจากแผนขั้นแรกคือการหาทีมที่ต้องการ
ขั้นที่ 2 คือการพยายามหาสมาชิกให้ได้อย่างน้อย 40,000 คนที่พร้อมจะจ่ายเงิน 5 ปอนด์ต่อเดือน
ขั้นที่ 3 และ 4 คือการพยายามปิดดีลซื้อสโมสรให้ได้และต้องได้ ‘หุ้นทอง’ (Golden share หรือหุ้นตัว +1 ที่จะช่วยเคาะโต๊ะตัดสินเรื่องสำคัญได้) กับที่นั่งในบอร์ดบริหารที่จะออกเสียงแทนสมาชิกทุกคน
ขั้นสุดท้ายคือการจ่ายเงินเพื่อซื้อหุ้น 50+1 ของสโมสรฟุตบอล
อย่างไรก็ดี FC100,000 จะไม่มีการโหวตเพื่อจัดทีมแล้ว แต่สิ่งที่จะทำคือการผลิตคอนเทนต์ 24/7 ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมไปด้วยกัน รวมถึงการฉายให้เห็นช่วง Teamtalk ในระหว่างพักครึ่ง การประชุมของบอร์ดบริหาร และการเข้าถึงผู้เล่นและสตาฟฟ์อย่างใกล้ชิด
“เราต้องการมีอิทธิพล แต่ไม่ใช่ควบคุม ผ่านเก้าอี้ในบอร์ดบริหารและแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าสโมสรฟุตบอลเขาทำงานกันแบบไหน”
ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ไม่ว่า FC100,000 จะไปลงทุนกับสโมสรไหน บอร์ดบริหารของสโมสรจะเป็นผู้ตัดสินใจเสมอ เพียงแต่จะมีการสอบถามความเห็นของสมาชิกทุกคนในทุกเรื่องตั้งแต่การออกแบบชุดแข่งใหม่ ไปจนถึงเรื่องของการต่อสัญญาผู้เล่น และการปรับปรุงสนาม
การลงทุนกับสโมสรจะไม่มีการปันผลให้ เงินทั้งหมดของสมาชิกจะนำมาใช้เพื่อการลงทุนกับสโมสร และถ้าใครอยากจะถอนทุนคืนก็ได้เสมอ
และถ้าไม่มีใครอยากจะร่วมด้วยแล้ว หุ้นทั้งหมดจะถูกคืนให้แก่สโมสร
ฟังดูแล้วก็เป็นโปรเจกต์ที่น่าสนใจ ซึ่งขณะนี้บรูกส์ก็ได้ปล่อยเว็บไซต์ใหม่ fc100000.com ขึ้นไปแล้วด้วย และเตรียมจะปล่อยแอปพลิเคชันซึ่งจะเป็นศูนย์รวมของทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบสมาชิก เรื่องการโหวตต่างๆ ไปจนถึงคอนเทนต์ที่เราจะได้ติดตามผ่านแอปนี้
แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคือจะมีคนเอาด้วยกับเขาอีกมากน้อยแค่ไหนในครั้งนี้
โลกมันเปลี่ยนไปมากแล้วจากวันนั้น
เอาใจช่วยแล้วกันนะบรูกส์!
อ้างอิง: