×

ศิริกัญญาเผย หน่วยงานรัฐยอมรับ GDP ปีหน้าตก 1.6% ห่วงหนี้สาธารณะทะลุเพดาน

โดย THE STANDARD TEAM
11.06.2025
  • LOADING...
ศิริกัญญาอภิปรายงบประมาณ 2569 ชี้ GDP ไทย เสี่ยงหดตัว หนี้สาธารณะใกล้แตะเพดาน

วันนี้ (11 มิถุนายน) ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วาระพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจไทย โดยได้เชิญหน่วยงานและสถาบันการเงิน 4 หน่วยงานเข้าชี้แจง ได้แก่ กระทรวงการคลัง, สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ, ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงบประมาณ

 

ในช่วงหนึ่ง ศิริกัญญา ตันสกุล สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการ ได้สอบถาม หน่วยงานถึงปัญหาภาพรวมเศรษฐกิจ โดยระบุว่า พูดถึงเรื่องนี้ทุกปีจนเหมือนกับคนที่มีอาการวิตกจริต แต่คิดว่าปีนี้มีความเหมาะสมที่จะพูดเรื่องนี้มากที่สุด ซึ่งไม่ใช่การตามจับผิด แต่เข้าใจได้ว่าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้า จึงต้องการฟังยุทธศาสตร์ในการเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้

 

ห่วงรัฐบาลเก็บภาษีได้ต่ำเป้าต่อเนื่อง

 

ศิริกัญญายกข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒน์ และรายงานนโยบายการเงิน ธปท. ชี้ว่า GDP ที่เป็นตัวเงิน หรือ Nominal GDP ลดลง จึงคาดว่าน่าจะกระทบกับประมาณการรายได้ ประมาณ 0.85% แล้วยังมีตัวแปรอื่นๆ เช่น ราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลง 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล รวมแล้วจะทราบผลกระทบต่อประมาณการรายได้ราว 2% จึงน่าจะจัดเก็บรายได้ตกเป้าไปแล้วประมาณ 63,000 ล้านบาท

 

“เรื่องนี้ไม่ได้โทษใคร เพราะเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าสงครามการค้าจะหนักขนาดนี้ แต่แนวทางในการรับมือดังกล่าวควรจะเป็นอย่างไร” ศิริกัญญากล่าว

 

นอกจากนี้ จากรายงานของงบประมาณปี 2567 พบว่ารายได้การจัดเก็บภาษีตกเป้าไปเกือบ 8 หมื่นล้านบาท กระทรวงการคลังพยายามทำให้ปิดหีบได้ ด้วยเงินปันผล ปตท. ก่อนหมดปีงบประมาณ รวมถึงกองทุนวายุภักดิ์ และกองสลาก ต่อมาในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 เหตุการณ์เหมือนกลับมาซ้ำเดิม การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตก็ตกเป้าแล้ว 3.3 หมื่นล้าน ทำให้รัฐวิสาหกิจต้องมาแบกรับภาระ รายได้นำส่งคลังจึงเพิ่มขึ้นกว่าประมาณการถึง 26.5% ซึ่งฝากกระทรวงการคลังชี้แจงว่า รัฐวิสาหกิจใดรับภาระอยู่ตอนนี้

 

สำหรับปีงบประมาณ 2569 ได้มีความพยายามปรับเป้าของการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตลงมา 3.1 หมื่นล้านบาทจากปีก่อนหน้า ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี จึงอยากสอบถามว่าปัญหาเดิมๆ ที่เคยทำให้เราจัดเก็บภาษีสรรพสามิตได้ไม่ตรงเป้าสามารถจัดการได้หรือไม่อย่างไร

 

ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีรถยนต์มีอุปสรรคจาก ปริมาณรถยนต์ที่ขายได้น้อยลง ประเภทรถยนต์ที่เปลี่ยนไปใช้รถ EV ขณะที่ภาษีบุหรี่จัดเก็บได้น้อยลง เนื่องจากผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมไปสูบบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่เถื่อนมากขึ้น ทำให้แนวโน้มของภาษียาสูบลดลงจากปี 2560 เกือบ 20,000 ล้าน จึงอยากทราบเหตุผลที่ปรับเป้าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตลงมาว่าได้แก้ไขปัญหาเดิมแล้วหรือไม่

 

ส่วนงบชำระดอกเบี้ยก็มีการตั้งงบประมาณไว้ต่ำกว่า แผนการคลังระยะปานกลาง ซึ่งในปี 2568 ต้องชำระดอกเบี้ยสูงถึง 11.3 % แต่เมื่อชำระจริงผ่านการตั้งงบประมาณในปี 2567 กลับอยู่ที่เพียง 8% กว่าๆ ซึ่งท้ายที่สุดในปี 2567 ก็ต้องไปใช้เงินคงคลังนำมาจ่ายดอกเบี้ย และในปี 2569 ก็จะเกิดเหตุการณ์แบบเดิมอีก เมื่อต้องใช้ชำระดอกเบี้ยสูงถึง 11.5% แต่ร่างงบประมาณปี 2569 กลับตั้งงบประมาณไว้เพียง 9.20%

 

“ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าไม่ทำไปตามที่วางแผนไว้ตามแผนการคลังระยะปานกลางเลย เพราะนอกจากกรอบวงเงินแล้ว ส่วนข้างในที่เหลือแทบจะไม่ปฏิบัติตามเลย แล้วเราจะยังมีแผนการคลังระยะปานกลางเอาไว้ทำไม” ศิริกัญญาระบุ

 

ต่อมา ศิริกัญญาได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ทางกระทรวงการคลังมีการเสนอแนวทาง 2 อย่าง คือประเด็นแรก ที่จะใช้ทั้งปี 2568 และ 2569 คือจะมีการเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้น 1 บาท เพียงอาจจะยังไม่กระทบกับราคาน้ำมันที่ประชาชนต้องควักเงินจ่าย แต่จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น 3 พันล้านบาทต่อเดือน

 

ประเด็นที่ 2 คือการเก็บภาษีตัวอื่นๆ เพิ่มเติม หรือมีการรื้อโครงสร้างของภาษีรถยนต์ในอนาคต เพราะการเก็บสรรพสามิตที่ลดลงมาก คือในส่วนภาษีรถยนต์ ตามที่เราขายได้น้อยลง รวมถึงการที่เราเก็บภาษีรถ EV ต่ำลงด้วย จึงถือว่าเป็นการปฏิรูปทั้งระบบ จะนำมาซึ่งรายได้ที่นำมาใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2569

 

“แต่เรายังคงมีข้อกังวล เนื่องจากยังไม่มีการลงละเอียดชัดเจนว่า จะมาจากเงินในส่วนไหน และเม็ดเงินเท่าไหร่ ที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาเช่นนี้ กระทรวงการคลังจะใช้วิธีการเอาเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจต่างๆ อย่าง ปตท. กองสลาก กองทุนวายุภักดิ์ ซึ่งอาจไม่จีรังยั่งยืน เนื่องจากผลประกอบการรัฐวิสาหกิจอาจจะไม่ดี มีเพียงแค่ท่าอากาศยานไทยที่มีผลประกอบการดีขึ้น” ศิริกัญญาระบุ

 

ยอดหนี้ใกล้ชนเพดาน จ่อขยายอีกในปี 2570

 

ขณะที่งบประมาณ ในการกู้นั้น ตั้งแต่ปี 2568 ยอดหนี้สาธารณะใกล้จะชนเพดาน จนมาในปี 2569 ที่มีการกู้ 13.5 ล้านล้านบาท ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 69% เหลือพื้นที่ให้กู้เพิ่มได้เพียง 2.1 แสนล้านบาทเท่านั้น ซึ่งไม่ช้าก็เร็วก็คงจะต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะ จึงขอถามความเห็นจากกระทรวงการคลังว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้

 

โดยสำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นว่า จะต้องรอลุ้นว่าดอกเบี้ยนโยบายจะตกลงเรื่อยๆ แล้วทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลมีค่าใช้จ่ายลดลงหรือไม่ อย่างไร ซึ่งเป็นข้อกังวลในอนาคตว่า หากไม่เพียงพอ คงต้องใช้เงินคงคลัง หรืองบกลางมาชำระดอกเบี้ยอีก เหมือนปี 2567

 

ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่อาจจะขึ้นไปถึง 69% เร็วกว่าที่คาด และในปี 2570 ก็อาจจะต้องขยายเพดานหนี้ออกไปนั้น กระทรวงการคลังก็ไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้ เท่ากับว่าประเทศไทยคงต้องมีมติของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เพื่อขยายเพดานหนี้สาธารณะในปี 2570 และไม่แน่ใจว่า จะเป็นงบประมาณที่รัฐบาลไหนได้ใช้ หากมีการยุบสภาเร็วกว่านี้ ก็อาจไม่ใช่รัฐบาลนี้ ที่จะรับภาระหนี้สาธารณะเกิน 70% ต่อ GDP

 

ธปท. ยืนยันไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด

 

นอกจากนี้ ยังสอบถามไปถึง ธปท. ด้วย ในเรื่องของภาวะเงินฝืด เพราะเมื่อวานมีนักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืด กำลังซื้อเราอ่อนแอลงจริงหรือไม่

 

ธปท. ชี้แจงว่า ยังไม่เข้าสู่ช่วงเงินฝืด เพราะเวลาเงินเฟ้อติดลบ ติดลบเป็นหย่อมๆ ไม่ได้ติดลบทุกๆ รายการอย่างเท่าเทียม จึงยังไม่เข้าเกณฑ์ภาวะเงินฝืด แต่ต้องยอมรับว่า มีการจับตาดูเรื่องกำลังซื้อที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ อย่างที่เราเห็นว่า คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง ตลาดเงียบเหงา หรือรายได้ของคนที่ลดลง ทั้งค่าจ้างแรงงาน และเกษตรกร

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising