ฉนวนกาซาลุกเป็นไฟจากเหตุปะทะระหว่างทหารอิสราเอลกับชาวปาเลสไตน์ที่ลุกฮือขึ้นประท้วงต่อต้านอิสราเอลและการเปิดสถานทูตของสหรัฐฯ ในนครเยรูซาเลมเมื่อวานนี้ (14 พ.ค.) ล่าสุดมีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 55 คน และบาดเจ็บกว่า 2,700 คน ซึ่งนับเป็นวันนองเลือดที่สุดตั้งแต่ปี 2014
ทูตปาเลสไตน์ประจำสหประชาชาติเปิดเผยว่าในบรรดาผู้เสียชีวิตมีเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีอย่างน้อย 8 คน ขณะที่มาห์มูด อับบาส ผู้นำปาเลสไตน์ประณามการโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ว่าเป็นการสังหารหมู่
“วันนี้เป็นอีกครั้งที่การสังหารหมู่ประชาชนของเรายังคงดำเนินต่อไป” อับบาสกล่าว พร้อมประกาศไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตในปาเลสไตน์เป็นเวลา 3 วัน
ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลระบุว่า ปฏิบัติการทหารของอิสราเอลเป็นการป้องกันตนเองจากกลุ่มติดอาวุธฮามาสในปาเลสไตน์ที่ต้องการบ่อนทำลายอิสราเอล
โดยโฆษกกองทัพอิสราเอลยืนยันว่าพลแม่นปืนได้ยิงใส่ผู้ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายก่อการร้าย ไม่ได้เล็งใส่ผู้ประท้วงแต่อย่างใด ส่วนการสลายผู้ชุมนุม อิสราเอลได้ใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งเป็นไปตามกฎการปะทะ
เหตุจลาจลล่าสุดมีชนวนมาจากการที่สหรัฐฯ เปิดสถานทูตอิสราเอลในนครเยรูซาเลม ซึ่งมีนัยว่าสหรัฐฯ ได้ยอมรับเยรูซาเลมในฐานะเมืองหลวงของอิสราเอลอย่างเป็นทางการ ขณะที่นครดังกล่าวเป็นดินแดนพิพาทที่ปาเลสไตน์ต้องการสถาปนาเป็นเมืองหลวงของพวกเขาเช่นกัน
เยรูซาเลมยังเป็นที่ตั้งของศาสนสถานที่สำคัญในทางประวัติศาสตร์ของชาวคริสต์ ชาวมุสลิม และชาวยิว ซึ่งรวมถึงโดมแห่งศิลา (Dome of the Rock) ของศาสนาอิสลามในเขตนครโบราณ (Old City) ด้วย
อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ยืนยันว่าการย้ายสถานทูตจากเทลอาวีฟไปยังเยรูซาเลมเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และจะสร้างเสถียรภาพให้กับภูมิภาคตะวันออกกลาง พร้อมกันนี้ยังขอให้ประเทศอื่นๆ ยอมรับความจริงในเรื่องนี้
แต่กระนั้น ในยุโรปเองก็เสียงแตกเกี่ยวกับกรณีการใช้กำลังของทหารอิสราเอล โดยนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ แห่งสหราชอาณาจักรได้เรียกร้องให้อิสราเอลอดกลั้น ขณะที่เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสได้ประณามเหตุรุนแรงโดยทหารอิสราเอล ทว่ารัฐบาลเยอรมนีระบุว่าอิสราเอลมีสิทธิ์ในการป้องกันตนเองตามความเหมาะสม
อ้างอิง: