ทางการอิสราเอลเปิดเผยวานนี้ (12 ตุลาคม) ว่าการปิดล้อมฉนวนกาซา ‘จะไม่มีข้อยกเว้นด้านมนุษยธรรมใดๆ’ จนกว่ากลุ่มฮามาสจะยอมปล่อยตัวประกันทั้งหมดออกมา ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนราว 2 ล้านคนในบริเวณดังกล่าวย่ำแย่ลงกว่าเดิม ท่ามกลางยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ และเสบียงอาหาร พลังงานไฟฟ้า เชื้อเพลิง ที่ร่อยหรอลงเรื่อยๆ
ด้านสหรัฐอเมริกาได้ออกมาเรียกร้องให้ทางการอิสราเอลปกป้องพลเรือน ขณะที่สภากาชาดได้กล่าวเตือนว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจก่อให้เกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่ตามมา ส่วนโครงการอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ (UN) เตือนว่าเสบียงอาหารและข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในฉนวนกาซานั้นเหลือน้อยลงมาก หลังจากที่อิสราเอลส่งทหารเข้าปิดล้อมพื้นที่ดังกล่าวโดยสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีหญิงตั้งครรภ์อีกกว่า 50,000 คนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการที่จำเป็นได้
ล่าสุดสื่อของอิสราเอลรายงานว่ายอดผู้เสียชีวิตในฝั่งอิสราเอลเพิ่มขึ้นแตะที่กว่า 1,300 คน ขณะที่นักรบกลุ่มฮามาสได้จับตัวประกันซึ่งเป็นทั้งคนอิสราเอลและชาวต่างชาติไปไว้ในฉนวนกาซาอย่างน้อย 150 คน ซึ่งทางการอิสราเอลระบุว่าขณะนี้สามารถระบุตัวตนได้ 97 คนแล้ว
ทางฟากฝั่งของกาซารายงานว่า มีชาวปาเลสไตน์มากกว่า 1,400 คนที่ถูกสังหาร และอีกกว่า 6,000 คนที่ได้รับบาดเจ็บ โดยในจำนวนดังกล่าวมีแพทย์ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตด้วย 10 คน และมีผู้ที่ต้องพลัดถิ่นฐานกว่า 338,0000 คน
ประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส ของปาเลสไตน์ ออกมากล่าวประณามความรุนแรงที่ทั้งสองฝ่ายกระทำต่อพลเรือน โดยระบุว่า “เราปฏิเสธปฏิบัติทางทหารที่มีการสังหารพลเรือนหรือทารุณประชาชนของทั้งสองฝ่าย เพราะเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนศีลธรรม หลักศาสนา และกฎหมายระหว่างประเทศ”
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีของปาเลสไตน์ระบุว่า ขณะนี้เขาได้ประสานงานกับทางการอียิปต์เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ฉนวนกาซา และเพื่อยุติ ‘อาชญากรรมที่กระทำโดยกองทัพและผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอล’ โดยทันที
ส่วนสายการบิน El Al Airlines ของอิสราเอล เปิดเผยว่าในวันพรุ่งนี้ (14 ตุลาคม) จะมีการเปิดเที่ยวบินในสหรัฐฯ และหลายประเทศในเอเชีย เพื่อพาทหารกองหนุนกลับมาสู่มาตุภูมิ ซึ่งจะกลับมาสู้ศึกกับฮามาส
ภาพ: Reuters / Ibraheem Abu Mustafa
อ้างอิง: