×

โนสน โนแคร์! อะไรที่ทำให้ ‘แกเร็ธ เบล’ เต็มใจเป็นตัวสำรองตลอดกาลที่แพงที่สุดในโลก

15.07.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MINS. READ
  • ความสัมพันธ์ระหว่าง ซีเนดีน ซีดาน และ แกเร็ธ เบล เป็นปัญหาในทีมเรอัล มาดริดมาอย่างยาวนาน และมันเลวร้ายถึงขั้นที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่เอาอีกฝ่ายเลยทีเดียว
  • ซีดานเคยตัดสินใจอำลาทีมไปเมื่อปี 2018 โดยหนึ่งในเหตุผลคือการที่เขาไม่อยากร่วมงานกับเบล และเมื่อได้รับเชิญให้กลับมาทำทีมอีกครั้ง เงื่อนไขแรกของเขาคือการที่ทีมจะต้องไม่มีสตาร์ชาวเวลส์อยู่ในทีมอีกต่อไป
  • เบลเคยพยายามครั้งสุดท้ายในการขอร้องให้สโมสรเปิดทางให้เขาได้ย้ายทีม แต่ความพยายามนั้นล้มเหลว และนำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดของปีกฟ้าประทาน

เป็นอีกครั้งในรอบสัปดาห์ที่แฟนบอลทั่วโลกได้ขำขันไปกับภาพอากัปกิริยาของ แกเร็ธ เบล ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังทีมชาติเวลส์ ที่ประจำการบนม้านั่งสำรองของทีม ‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด 

 

จากภาพใช้ผ้าคาดปากมาปิดตานั่งสัปหงกในแมตช์กับอลาเบส มาถึงการเอากระดาษมาม้วนแล้วทำท่าส่องไปยังสนาม ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนี้เบลจะยิ่งถูกจับตาจากสื่อมวลชนหนักเข้าไปอีกว่าจะมีช็อตเด็ดอะไรออกมาให้เป็นประเด็นข่าวหรือไม่

 

เพราะดูเหมือนภาพของเขาจะขายได้มากกว่าเรื่องราวการใกล้คว้าแชมป์ลาลีกาในฤดูกาลนี้ของเรอัล มาดริด ที่ต้องการอีกเพียงแค่ 2 คะแนนจาก 2 เกมที่เหลือ ซึ่งจะเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 เสียด้วยซ้ำไป

 

อย่างไรก็ดี ภาพชวนขันนี้ในสถานการณ์จริงไม่ใช่เรื่องที่น่าขำแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ‘สงครามเย็น’ ที่ยืดเยื้อระหว่างเบลกับซีเนดีน ซีดาน โค้ชของทีมที่มีปัญหาคาใจกันมาอย่างยาวนานและไม่มีวันจะหายคาใจโดยง่าย

 

ปัญหาคือทั้งคู่ยังต้องทนอยู่กันไปแบบนี้ และคาดว่าจะต้องทนอยู่กันไปแบบนี้อีกนาน

 

กีเยม บาลาเก กูรูฟุตบอลสเปนเปิดเผยเบื้องหลังของความสัมพันธ์ระหว่างสตาร์ชาวเวลส์ ซึ่งเคยเป็นอดีตนักฟุตบอลที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก และยังเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงสุดของเรอัล มาดริด ในปัจจุบันกับโค้ชชาวฝรั่งเศสผู้เงียบขรึมว่า หากคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่เป็นความสัมพันธ์ที่เลวร้ายลงนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด

 

เพราะในความจริงแล้วทั้งคู่ไม่เคย ‘ญาติดี’ กันมาตั้งแต่ต้น

 

จากจุดเริ่มต้นของความเย็นชา เมื่อทั้งเบลและซีดานต่างสัมผัสได้ว่าทั้งคู่ไม่มีวันเข้ากัน สิ่งต่างๆ ก็ยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ บาลาเกให้ความเห็นเอาไว้อย่างน่าสนใจ

 

อย่างไรก็ดี หากจะย้อนความหลังครั้งเก่าจริงๆ ครั้งหนึ่งเบลก็เคยเป็นคนที่ซีดานไว้เนื้อเชื่อใจอยู่พอสมควร

 

แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นถูกทำลายลงในเกม ‘เอลกลาซิโก’ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2017

 

ในเวลานั้น เรอัล มาดริด นำจ่าฝูงของตารางลาลีกา และมีโอกาสในการลุ้นคว้าดับเบิลแชมป์ถ้วยใหญ่อีกถ้วยคือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ซึ่งถ้าทำได้ก็จะเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1958 ในยุคเริ่มต้นของตำนานราชันชุดขาวที่มี อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน, เรย์มงด์ โกปา และฟรานซิสโก เกนโต นำทัพ

 

ก่อนจะรับมือบาร์เซโลนาในวันนั้น ซีดานเฝ้ารอเบลซึ่งมีอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดร่วมเดือน และหมายมั่นปั้นมือว่าสตาร์ชาวเวลส์จะมีส่วนช่วยทีมได้อย่างแน่นอนในการเล่นเป็นสามประสานร่วมกับ คริสเตียโน โรนัลโด และคาริม เบนเซมา ในรหัส BBC ซึ่งเป็นระบบการเล่นที่เขายึดมาตลอด

 

แต่ปรากฏว่าเบลเกิดบาดเจ็บซ้ำที่น่อง และต้องเปลี่ยนตัวออกจากสนามก่อนจบครึ่งแรก

 

เท่านั้นไม่พอ เกมที่เบอร์นาบิวจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของมาดริดที่โดนทีเด็ดของ ลิโอเนล เมสซี ยิงประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้บาร์ซาไล่ตีตื้นขึ้นมาในการเบียดลุ้นแชมป์

 

จากที่ลุ้นแชมป์แบบสบายใจ เบลทำให้ซีดานต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันมหาศาล และนำไปสู่การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงแท็กติกการเล่นครั้งสำคัญ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่กุนซือระดับชั้นนำจะยอมทำง่ายๆ โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล

 

จากเดิมที่เล่นในระบบการเล่นแบบ 4-3-3 ซีดานเปลี่ยนให้เรอัล มาดริด มาเล่นในระบบ 4-4-2 แบบไดมอนด์แทน โดยให้อิสโกยืนเป็นหมายเลข 10 และให้โรนัลโดจับคู่กับเบนเซมาในแดนหน้า

 

ปรากฏว่าระบบการเล่นนี้เวิร์ก และมันได้นำเรอัล มาดริด คว้าดับเบิลแชมป์ได้สมใจ โดยพวกเขาชนะรวดในลีก 6 นัดสุดท้าย ก่อนจะผ่านด่านแอตเลติโก มาดริด ในรอบรองชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกและไปถล่มยูเวนตุส คว้าโทรฟี Big Ears มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่

 

ฉากสำคัญในเรื่องนี้คือเกมนัดชิงแชมเปียนส์ลีกปี 2017 มีขึ้นที่กรุงคาร์ดิฟฟ์ ประเทศเวลส์ บ้านเกิดของเบล ซึ่งหากเป็นไปตามบทที่ควรจะเป็น วีรบุรุษของชาวมังกรแดงก็ควรจะได้ลงไปวาดลวดลายนำทีมคว้าแชมป์บนแผ่นดินเกิด

 

แต่วันนั้นซีดานจับเบลนั่งเป็นตัวสำรอง และรอจนกว่าเกมจะชนะขาดจึงจะได้ลงไปเล่น ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ‘สถานะ’ ของเบลในสายตาของซีดาน

 

ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ในเวลาต่อมา

จุดแตกหักที่สำคัญเกิดขึ้นในปี 2018 เมื่อซีดานตัดสินใจอำลาเรอัล มาดริด หลังพาทีมพิชิตลิเวอร์พูล คว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นฤดูกาลที่ 3 ติดต่อกัน

หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้กุนซือชาวฝรั่งเศสตัดสินใจจะไป ก็เพราะเขาไม่ต้องการเห็นเบลอยู่ในทีม ในขณะที่เบลเองก็ต้องการย้ายทีม แต่ความหวังของเขาต้องดับลงไปเพราะ คริสเตียโน โรนัลโด เองก็ประกาศข่าวการย้ายทีมหลังจบเกมนัดชิงชนะเลิศเช่นเดียวกัน

 

เรอัล มาดริด ไม่สามารถจะสูญเสียสองซูเปอร์สตาร์ค่าตัวแพงที่สุดของพวกเขาได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเบลจำเป็นต้องอยู่ โดยเขาได้รับการหนุนหลังจาก ฟลอเรนติโน เปเรซ ประธานสโมสรซึ่งเป็นแฟนตัวยงของสตาร์ชาวเวลส์ และเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าเบลคือคนที่จะก้าวขึ้นมาแทนที่ CR7 ได้

 

เมื่อโรนัลโดจากไป ตามด้วยซีดานที่วางมือ โดยให้เหตุผลเรื่องการอิ่มตัวในการทำงาน ‘โลส บลังโกส’ ก็เดินหน้าต่อ เพียงแต่เรอัล มาดริดกลับถอยหลังลงคลอง โดยที่เบลเองก็ไม่สามารถที่จะก้าวขึ้นมาทดแทนโรนัลโดได้ตามที่เปเรซหวัง

 

สถานการณ์ของทีมวิกฤตจนถึงขั้นที่เปเรซจำเป็นต้องไปทาบทามให้ซีดานกลับมาทำงานอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เพิ่งจะประกาศวางมือไปไม่ถึง 9 เดือน

 

ซีดานแม้จะเป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายแอลจีเรียและผ่านการเล่นกับหลายสโมสร แต่ทีมที่เขาผูกพันมากที่สุดคือเรอัล มาดริด ซึ่งการได้กลับมาทำงานในซานติอาโก เบร์นาเบวอีกครั้งไม่ใช่เรื่องที่เขาจะบอกปัดได้

 

เพียงแต่จะกลับมารอบนี้ซีดานก็มีเงื่อนไข และเงื่อนไขนั้นคือการที่จะต้องไม่มี แกเร็ธ เบล อยู่ในทีมอีกต่อไป

 

ฝ่ายบริหารของสโมสรยอมรับข้อเสนอ พวกเขาได้ซีดานกลับมาและเริ่มเดินหน้าแผนในการโละเบลให้กับสโมสรใดก็ได้ ซึ่งก็มีการติดต่อมาจากเจียงซูซูหนิง สโมสรในไชนีส ซูเปอร์ลีก ที่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในช่วงฤดูร้อนปี 2019

 

ซีดานประกาศข่าวเรื่องนี้ในระหว่างการทัวร์พรีซีซันว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ทางสโมสรเรากำลังพยายามเจรจากับทีมที่เขาจะย้ายไปเล่นด้วย และถ้าเขาจะย้ายไปเลยในวันพรุ่งนี้ก็จะถือเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย”

 

สำหรับเบล การย้ายทีมครั้งนี้จะทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่รับเงินค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลก โดยไม่จำเป็นต้องสนใจในเรื่องชื่อเสียงที่อาจมัวหมองจากการเลือกย้ายเล่นเพราะเงินมากกว่าเกียรติยศ

 

ดีที่สุดของเรอัล มาดริดคือการที่พวกเขาจะประหยัดเงินค่าเหนื่อยของเบลที่มีสัญญาระยะยาวไปจนถึงปี 2022 ได้ถึง 35 ล้านปอนด์

 

ส่วนซีดานแน่นอนว่าเขาจะกำจัด ‘มารหัวใจ’ ในทีมได้

 

ซีดานและเบลเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ

 

ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งมีข่าวเรื่องข้อเสนอในการซื้อตัว ฮาเมส โรดริเกซ กองกลางตัวทำเกมชาวโคลอมเบีย ที่เป็นอีกหนึ่งใน Galacticos ที่ล้มเหลว แต่ยังอาจทำเงินให้กับสโมสรได้มากถึง 40 ล้านยูโร

 

ขนาดฮาเมสยังได้ค่าตัวระดับนี้ แล้วเรื่องอะไรที่พวกเขาจะต้องยอมปล่อยนักเตะที่เคยซื้อตัวมาด้วยสถิติโลกถึง 100 ล้านยูโรไปแบบฟรีๆ ตามที่ โจนาธาน แบร์เรตต์ ตัวแทนของเบลเสนอให้ปล่อยตัวสตาร์ชาวเวลส์ที่ไม่มีความสุขกับทีมไปแบบฟรีๆ

 

จากที่จะยกให้ฟรีๆ คราวนี้เรอัล มาดริดจึงขอคุยกับเจียงซูใหม่ แต่ทางสโมสรจากจีนไม่สนใจที่จะคุยด้วยแล้ว 

 

สุดท้ายเบลจึงไม่ได้ย้ายทีม และซีดานก็ยังต้องมีมารหัวใจอยู่ในทีมต่อไป (รวมถึงฮาเมสที่ยังค้างเติ่งอยู่ในทีม) และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ การที่ทั้งคู่ต้องทนอยู่ใต้ชายคาเดียวกันโดยที่ไม่มีความรู้สึกดีๆ เหลืออยู่ระหว่างกันเลย

 

ซีดานไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครอีก และเขาก็แสดงออกให้รู้ชัดๆ ว่าเขาไม่ต้องการเบลในทีม ให้ลงสนามก็ตามมารยาทเท่านั้น

 

สถานการณ์นี้ทำให้เบลอึดอัด เขาทบทวนอนาคตและรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการย้ายออกจากทีม โดยได้พยายามครั้งสุดท้ายในเดือนตุลาคมในการจะให้สโมสรยอมเปิดทางให้เขาย้ายทีม

 

แต่ปัญหาคือการที่เขาถูกหมางเมินไม่เฉพาะจากซีดานที่ไม่คิดจะคุยด้วย แม้แต่เปเรซเองก็ไม่คิดจะทำอะไรเช่นกัน

 

ท่าทีของทั้งสองทำให้เบลคิดและตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองได้ทันที

 

คำตอบของเบลต่อชีวิตของตัวเองคือ “ถ้าจะไม่ได้ย้ายไปไหน และถ้าจะไม่ได้โอกาสในการลงเล่น เช่นนั้นการแก้แค้นของเขาคือการจะอยู่ไปแบบนี้จนกว่าจะหมดสัญญาในวันที่ 30 มิถุนายน 2022”

 

โดยระหว่างนั้นไปจนถึงหมดสัญญา เขาจะได้รับเงินค่าตอบแทนอีก 102 สัปดาห์ คิดเป็นเงินประมาณ 35.7 ล้านปอนด์โดยที่ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องแคร์ใคร สนใจเฉพาะเงินรายได้ที่เข้าบัญชีมาในทุกเดือนก็พอ

 

ครั้งหนึ่ง โคลด มาเกเลเล่ ตำนานกองกลางตัวรับทีมชาติฝรั่งเศสก็เจอสถานการณ์คล้ายกันกับเชลซี และสิ่งที่ชุบชูใจของเขาคือการเปิดสมุดบัญชีทุกสิ้นเดือน เพราะมันจะนำมาซึ่งรอยยิ้ม

 

สำหรับเบล ความสุขในเกมฟุตบอลของเขายังเหลืออยู่ นั่นคือการเดินทางไปเล่นให้ทีมชาติเวลส์ซึ่งมีปฏิทินแทบทุกเดือน

 

หากเขาจะต้องย้ายทีมจริง เงื่อนไขเดียวคือการได้อยู่กับทีมที่จะจ่ายค่าเหนื่อยให้เขาได้มากกว่าที่ได้รับจากเรอัล มาดริด ซึ่งมันแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสโมสรไหนกล้าจ่ายเงินขนาดนี้กับนักเตะที่อายุเข้าสู่เลข 30 ปีแล้ว

 

หรือถ้ามันจะเป็นไปได้ เบลก็จะถือว่ามันเป็นโบนัสในชีวิตของเขา

 

ดังนั้นแม้ว่าในฤดูกาลนี้เบลจะได้รับโอกาสในการลงสนามน้อยลงอย่างมาก เขาได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงแค่ 12 เกม และหลังเข้าปี 2020 เป็นต้นมา เขาได้โอกาสลงเล่นแค่ 5 ชั่วโมงกับอีก 45 นาทีโดยที่แทบทำอะไรไม่ได้ (และเป็นเหตุผลที่ทำให้ซีดานไม่ลังเลที่จะยิ่งจับเขาดองเค็มให้นานขึ้น) โดยเกมสุดท้ายที่เขาได้ลงสนามหลังการรีสตาร์ทคือเกมกับกรานาดา ก่อนที่จะไม่ได้รับโอกาสอีกเลย

 

ซีดานจะนำเรอัล มาดริดทวงคืนความยิ่งใหญ่ สโมสรกำลังจะก้าวไปสู่อนาคตด้วยนักเตะอย่าง วินิเชียส จูเนียร์, โรดริโก และอื่นๆ ก็ช่างปะไร

 

พรสวรรค์ที่ฟ้าประทานมาให้เขาจะสูญเปล่าอย่างน่าเศร้า ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นช่วงขวบปีที่เขาจะระเบิดผลงานได้อย่างสุดยอดก็ช่างปะไร

 

เมื่อ แกเร็ธ เบล คนนี้ได้ตัดสินใจแล้ว และดูเหมือนเขาไม่คิดจะเปลี่ยนใจด้วยครับ

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

FYI
  • ถึงแม้จะเจอกับช่วงเวลาเลวร้ายและชื่อเสียงที่หม่นหมอง แต่ในอีกด้านแล้วเบล ไม่ได้ล้มเหลวกับเรอัล มาดริดแม้แต่น้อย ในศตวรรษที่ 21 เขาคือดาวยิงอันดับ 5 ในทำเนียบของสโมสร โดยทำไป 105 ประตูจากการลงสนาม 251 นัด เป็นรองเพียง โรนัลโด, ราอูล กอนซาเลซ, คาริม เบนเซมา และ กอนซาโล อิกวาอิน
  • เบลยังได้แชมป์ลาลีกา 1 สมัย (2017) และกำลังจะได้อีกสมัย รวมถึงการคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมาครองได้ถึง 4 สมัย ซึ่งในครั้งล่าสุดปี 2018 เขาเป็นผู้ทำประตูที่ได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในนัดชิงชนะเลิศ ด้วยการกระโดดจักรยานอากาศผ่านมือ ลอริส คาริอุส นายทวารลิเวอร์พูลเข้าไป
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising