7 ปีที่แล้ว แกเร็ธ เบล ได้จากรังไวต์ฮาร์ตเลนของท็อตแนม ฮอตสเปอร์ เพื่อไปพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักเตะระดับโลกในชุดสีขาวของเรอัล มาดริด
เด็กหนุ่มชาวเวลส์จากไปในฐานะนักฟุตบอลเจ้าของค่าตัวสถิติโลก 86 ล้านปอนด์ แซงหน้า คริสเตียโน โรนัลโด เจ้าของสถิติเก่า ท่ามกลางความคาดหวังว่าเขาจะก้าวแซงหน้าไปด้วยความเร็วสายฟ้าฟาดเหมือนที่ทำลายอนาคตการเล่นของ ไมคอน แบ็กขวาทีมชาติบราซิล ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 2010
ไม่มีใครคิดว่า 7 ปีต่อมาเขากำลังจะได้กลับมาสู่บ้านเก่า – ซึ่งความจริงปลูกหลังใหม่อยู่ข้างๆ หลังเดิม – อีกครั้งหนึ่งในสภาพที่เรียกว่าดูไม่ได้นัก
เวลา 7 ปีในซานติเอโก เบอร์นาบิวของเบลไม่ได้ถึงกับแย่ หากมองในเรื่องของผลงานและความสำเร็จ
2 แชมป์ลาลีกา
4 แชมเปียนส์ลีก
3 แชมป์สโมสรโลก
2 แชมป์โกปา เดล เรย์
บ้างก็บอกว่าเขาได้แชมป์มากกว่า ซีเนดีน ซีดาน แอสซิสต์มากกว่า เดวิด เบ็คแฮม และยิงประตูได้มากกว่า โรนัลโด (บราซิลต้นตำรับ) ด้วยซ้ำไป
เพียงแต่เมื่อคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เบลกับเรอัล มาดริด กลายเป็นความล้มเหลวที่น่าเจ็บปวด โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงศักยภาพที่มีในตัวที่เราไม่มีโอกาสได้เห็นแล้วว่านักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าจะสามารถเขย่าบัลลังก์ของ คริสเตียโน โรนัลโด และลิโอเนล เมสซี ในฐานะราชาลูกหนังได้นั้นจะเล่นได้ดีที่สุดขนาดไหน
เพราะในช่วงวัยที่ดีที่สุดของเขาคือช่วงที่เบลเริ่มตกอยู่ในสถานะนักโทษทางเกมลูกหนังในคุกสีขาวที่มีชื่อว่าซานติเอโก เบอร์นาบิว
เพียงเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซีดานที่แตกร้าวและไม่มีวันจะกลับมาเหมือนเดิมได้อีก
อาจจะเป็นเพราะนิสัยการรักความเป็นส่วนตัว ไม่นิยมเข้าสังคมกับหมู่เพื่อนฝูง ที่ทำให้เขาไม่ได้ใจจากใคร
และอาจเป็นเพราะการที่เขาปฏิเสธที่จะพูดภาษาสเปน ที่ทำให้แฟนบอลก็ไม่อยู่เคียงข้าง
หรือเพราะความรักในการเล่นกอล์ฟของเขา ที่กลายมาเป็นสิ่งที่หลายคนนำมาใช้เล่นงานหาว่าเขาอยากเทิร์นโปรมากกว่าจะลงสนามรับใช้เรอัล มาดริด
เหตุผลหลากหลายนำไปสู่การจากลาที่แสนเศร้า โดยสิ่งที่เศร้าที่สุดคือการที่ไม่มีใครในมาดริดสักคนที่เสียใจกับการจากไปของเขา
ในทางตรงกันข้าม ดูเหมือนทุกคนจะโล่งอกที่เบลไปจากเรอัล มาดริด เสียที
เพราะเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้วที่การจากลานี้ควรจะเกิดขึ้น หลังจากที่เบลออกปากเป็นครั้งแรกหลังทำ 2 ประตูช่วยให้ ‘โลส บลังโกส’ สยบลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 3 ติดต่อกัน และเป็นสมัยที่ 4 ในรอบ 5 ปีว่า ‘เขาต้องการจะไปจากมาดริด’
การให้สัมภาษณ์หลังจบเกมทั้งๆ ที่ตัวยังสวมชุดขาวใส่สตั๊ดอยู่ในสนามไม่ใช่ภาพที่น่าประทับใจนักสำหรับแฟนบอล แต่เรื่องมันเลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อเขาไม่ใช่คนเดียวที่คิดจะจากไป เพราะยังมี คริสเตียโน โรนัลโด ที่ตั้งใจเช่นกันว่าจะย้ายออกจากเบอร์นาบิว หลังอิ่มตัวกับความสำเร็จและต้องการความท้าทายใหม่
ในฐานะประธานสโมสร ฟลอเรนติโน เปเรซ ไม่สามารถจะปล่อยผู้เล่นในระดับนี้ไปพร้อมกันทีเดียวสองคนได้ (ไม่นับซีดานที่วางมือเช่นกัน) มีเพียงคนเดียวที่จะได้ไป ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเบลต้องอยู่กับทีมต่อไป
แต่เบลก็ไม่สามารถทำตามความคาดหวังของทุกคนที่อยากให้เขาก้าวมาแทนที่โรนัลโดได้ ไม่ว่าจะด้วยอาการบาดเจ็บทางกาย หรืออาการบาดเจ็บทางใจ
สิ่งที่เลวร้ายหนักกว่าซีดานที่ชัดเจนว่า ‘ไม่เอา’ เบลอีกแล้วได้กลับมารับตำแหน่งเดิมหลังมาดริดประสบปัญหาอย่างหนักในช่วงต้นปี 2019 และหนึ่งในเงื่อนไขคือการที่มาดริดจะต้องอัปเปหิสตาร์ชาวเวลส์ออกไปให้พ้นหูพ้นตา
“ซีดานได้ในสิ่งที่เขาต้องการ” สื่อสเปนพาดหัวตัวไม้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
เรื่องเกือบจะจบลงด้วยดี เมื่อมาดริดและเบลยอมรับข้อเสนอจากเจียงซูซูหนิง สโมสรในไชนีสซูเปอร์ลีก ที่ถูกขัดขวางจากต้นสังกัดในวินาทีสุดท้ายเพียงเพราะบอร์ดบริหารเปลี่ยนใจ จากเดิมที่จะปล่อยไปแบบไม่มีค่าตัว (ซึ่งเป็นผลดีต่อบรรยากาศภายในทีมและลดภาระค่าเหนื่อยมหาศาล) เป็นการเรียกร้องเงินค่าตัว ซึ่งทำให้สุดท้ายการเจรจาต้องยุติลง
สุดท้ายเบลจึงค้างเติ่งอยู่ที่มาดริดอีกปี โดยถูกลดบทบาทในทีมลงเรื่อยๆ จนเหลือศูนย์
ไม่มีตัวตนหลงเหลืออยู่อีกต่อไป
ภาพของเบลที่นั่งหาวในสนาม หรือเอากระดาษมาม้วนทำเป็นกล้องส่องทางไกลเล่น สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของเขา และในเวลาเดียวกันก็เป็นภาพน่าเศร้าที่นักฟุตบอลที่ควรจะไปได้ถึงจุดสูงสุดของโลกกลับต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้
เรื่องนี้ชี้หน้าโทษใครลำบาก ซีดานแข็งกร้าวก็ใช่ แต่อีกส่วนคือเบลก็ผิดที่ใช้ชีวิตเหมือนเดิมแบบไม่แยแสใคร
อย่างไรก็ดี วันเวลาแห่งความเจ็บปวดกำลังจะจบลง เมื่อเบลกำลังจะได้ย้ายกลับคืนสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และเขาจะได้กลับมาอยู่กับทีมที่เขารักมากที่สุดทีมหนึ่งอย่างสเปอร์ส
การกลับมาครั้งนี้เริ่มมีสัญญาณตั้งแต่การที่เบลซึ่งดูเหมือนเคยถอดใจกับการเล่นฟุตบอลไปแล้ว และพร้อมจะอยู่เป็นผักเป็นหญ้าในทีมเรอัล มาดริด ไปจนกว่าจะหมดสัญญาในปี 2021 ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนเกมยูฟ่าเนชันส์ลีกเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
ใจความสำคัญของบทสัมภาษณ์ในครั้งนั้นคือการพูดสองเรื่อง
อย่างแรก เขาไม่ได้ย้ายทีมเพราะเรอัล มาดริด ที่เป็นผู้กุมชะตาของเขา
อย่างที่สอง เขายังไม่หมดไฟในการเล่นฟุตบอล และพร้อมพิจารณาการกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีก (ซึ่งเป็นเหตุผลเบื้องหลังที่เอเจนต์พยายามนัดแนะให้มีการสัมภาษณ์)
การยืนยันในส่วนที่สองนี้ที่มีความหมายอย่างมาก เพราะตลอดช่วงระยะเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา หลายคนคิดว่าเบลอาจจะถอดใจกับการเล่นฟุตบอลไปแล้ว โดยเฉพาะการรับข้อเสนอจากลีกจีน ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจทิ้งทุกอย่างเพื่อไปโกยรายได้มหาศาลที่แดนมังกร
นั่นทำให้เริ่มมีข่าวว่าสโมสรในพรีเมียร์ลีกกลับมาสนใจในตัวของเบลอีกครั้ง โดยเฉพาะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มองหาตัวเลือกเพื่อทดแทน จาดอน ซานโช ซึ่งแนวโน้มจะได้ตัวมาในปีนี้ค่อนข้างลำบากมากแล้ว
การได้เล่นในทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ที่กำลังอยู่ในช่วงการก่อร่างสร้างทีมใหม่เป็นโอกาสที่น่าสนใจ เพราะดูเหมือนทิศทางของปีศาจแดงจะเป็นข้างขาขึ้น และเขาน่าจะช่วงชิงตำแหน่งตัวจริงมาครองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อสเปอร์สยื่นมือเข้ามา ดูเหมือนเบลจะตัดสินใจได้ทันที
เขาต้องการกลับมาทีมเก่าอีกครั้ง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
การเจรจาเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วเกินคาด ซึ่งต้องยกเครดิตให้กับความพยายามของ แดเนียล เลวี ประธานสโมสรสเปอร์ส และทีมเจรจาซึ่งทำภารกิจคู่กันในการขอซื้อ เซร์คิโอ เรกีลอน แบ็กซ้ายดาวรุ่งจากเรอัล มาดริด ควบคู่ไปกับการทาบทามสู่ขอเบลกลับคืนมาอีกครั้ง
การเจรจาซื้อเรกีลอนซึ่งลุล่วงด้วยดีเพราะสเปอร์สยอมรับข้อเสนอในสิ่งที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่อาจยอมรับได้ (เช่น เงื่อนไขการซื้อคืนในอนาคต) ทำให้เรอัล มาดริด ที่คิดจะปล่อยเบลออกไปเพื่อลดภาระค่าเหนื่อยมหาศาลที่บั่นทอนฐานะทางการเงินของสโมสรในช่วงโควิด-19 ยินดีที่จะเปิดทางให้
ขณะที่เบลเองก็ผลักดันเต็มที่ในการย้ายทีม เพราะเขาไม่ต้องการจะสูญเสียโอกาสนี้ไปอีก
ท้ายที่สุดแล้วการเจรจาจบลงด้วยดี โดยสเปอร์สไม่ต้องจ่ายเงินให้ในการยืมตัวมาใช้งานเป็นระยะเวลา 1 ปี และแค่หารค่าเหนื่อยกับเรอัล มาดริด ครึ่งหนึ่ง (และการมาของเบลก็ทำให้เรกีลอนตัดสินใจง่ายขึ้นที่จะรับข้อเสนอจากสเปอร์สมากกว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่อยากได้ตัวเขาเช่นกัน)
หลัง 7 ปีที่จากไป แกเร็ธ เบล ได้กลับมายืนที่เดิมอีกครั้ง
คำถามต่อไปที่หลายคนสงสัยคือเบลในวันนี้ยังเป็นเบลคนเดิมที่เคยสร้างความมหัศจรรย์หรือเปล่า
เรื่องนี้คงพอจะตอบได้ว่าในวัย 31 ปี กำลังวังชาของเบลในวันนี้ไม่เหมือนกับในวันที่เขาจากไปด้วยวัย 24 ปีที่กำลังสดและห้าวแล้ว เพียงแต่แม้จะเริ่มโรยรา สตาร์ชาวเวลส์ก็ยังมีเท้าซ้ายฉมังเดช มีระดับชั้นของฝีเท้าที่สูงส่ง เช่นกันกับประสบการณ์ที่เพิ่มพูนขึ้นตามวัยจากวันเวลาที่ได้เรียนรู้ชีวิต
ถ้าเป็นดังคำโบราณเขาว่า Form is temporary, class is permanent. เราก็น่าจะได้เห็นอะไรดีๆ จากเบลบ้าง
ในสองฤดูกาลสุดท้ายกับมาดริด เบลทำได้ 10 ประตูกับอีก 5 แอสซิสต์จากการเล่น 45 นัด คิดเป็นค่าเฉลี่ยแล้วจะมีส่วนกับ 1 ประตูในทุก 192 นาที โดยที่อย่าลืมว่าเขาเล่นโดยแทบไม่มีใจ
ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลับมาทำผลงานได้ดีทันที แต่ขั้นต่ำที่สุดคือการที่เบลมีใจที่จะกลับมาตั้งใจเล่นฟุตบอลอีกครั้ง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่หายไปกว่า 2 ปี
คนตั้งใจ อะไรก็ทำได้!
สำหรับสเปอร์ส นั่นคือการเดิมพันที่มีความเสี่ยง แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่น่าจะมีความสุข อย่างน้อยแค่ข่าวการกลับมาของนักเตะที่ดีที่สุดในรอบ 20 ปีของพวกเขาก็ทำให้ทีมที่กำลังแห้งเหี่ยว (โดยเฉพาะเมื่ออาร์เซนอลกลับมาตั้งหลักใหม่ได้แล้ว) กลับมาคึกคักอีกครั้ง
อย่างน้อย โชเซ มูรินโญ ก็ได้นักเตะที่เขาปรารถนาจะได้ตัวมา แต่คลาดกันตลอดตั้งแต่สมัยคุมเรอัล มาดริด และทีมจะได้นักเตะที่มี Winning Mentality ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมขาดหายไป
ดังนั้นไม่ว่าอีก 1 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร วันที่เบลได้กลับมาสวมเสื้อของสเปอร์สอีกครั้งจะเป็นวันที่ดีที่สุดของเขา สโมสร และแฟนบอล
เพราะมันเป็นการกลับมาพบกันในวันที่ต่างเจอเรื่องหนักหน่วงมามากมายจนแทบยืนไม่ไหว
#COYS
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- หนึ่งในวีรกรรมที่กลายเป็นตำนานของเบลคือป้ายผ้า Wales.Golf.Madrid ที่เบลเอามาเล่นกับเพื่อนทีมชาติหลังพาเวลส์เข้ารอบสุดท้ายของฟุตบอลยูโร 2020 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นที่ชิงชังมากขึ้นไปอีกในมาดริด
- โดยที่มานั้นมาจากเพลงที่แฟนบอลทีมชาติเวลส์ร้องให้เขา (เรียงลำดับความสำคัญในชีวิต) ซึ่งเบลชอบใจและไม่คิดอะไร
- แต่เบลก็เคยสร้างความทรงจำดีๆ ในทีมเรอัล มาดริด อย่างประตูในเกมนัดชิงโกปา เดล เรย์ กับบาร์เซโลนา หรือ 2 ประตูในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และประตูในเกมเอลกลาซิโก
- ผลงานรวมของเบลกับเรอัล มาดริด ปัจจุบันคือ 105 ประตูกับ 68 แอสซิสต์ จาก 251 นัด
- ทุกนัดที่เบลไม่ได้ลงสนาม เรอัล มาดริด จะต้องจ่ายเงินให้เบล 23,000 ยูโร