กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ แกเร็ธ เบล เคยถูกมองว่าเป็น The Next Big Thing เป็นคนที่สามารถจะเหยียบโลกลูกหนังเอาไว้ใต้เท้าของเขาด้วยพรสวรรค์ในการเล่นที่ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์
ความเร็วที่เหมือนการวาร์ปด้วยความเร็วแสง ลูกยิงเข้าข้อที่หนักหน่วงและคาดเดาทิศทางไม่ได้ พลังในการโจนทะยานที่ไปได้ไกลกว่าและสูงกว่า
ไม่มากก็น้อย เราต่างเคยเห็นความมหัศจรรย์ของเบลมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเกมโกปาเดลเรย์กับบาร์เซโลนา หรือลูกจักรยานอากาศในเกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกกับลิเวอร์พูลเมื่อปีกลาย
คำถามที่น่าสนใจในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ อะไรที่ทำให้เขาถูก ซีเนดีน ซีดาน นายใหญ่ของทีมราชันชุดขาว ขับไล่ออกจากทีมเหมือนเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อนแบบนี้
เรื่องนี้เป็นปริศนาที่คนนอกยากจะเข้าใจครับ แม้กระทั่งคนในอย่างแฟนบอลมาดริดิสตาเองก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้อดีตนักฟุตบอลเจ้าของค่าตัวสถิติโลกที่กวาดแชมป์มากับทีมมากมายถึง 14 รายการในช่วงระยะเวลา 6 ปีต้องตกอยู่ในชะตากรรมแบบนี้
เบลทำอะไรผิด? พลาดอะไรตรงไหน? แก้ไขไม่ได้เลยหรือ?
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นในกรณีของเบลกับเรอัล มาดริด ผมอยากแยกออกเป็น 2 ส่วนครับ
ส่วนแรก เรื่องของผลงานในสนามซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ผมคิดว่าเราสามารถพูดได้ว่าเบลประสบความสำเร็จพอสมควรในซานติเอโก เบอร์นาบิว ใต้สีเสื้อชุดขาวสะอาดตาชุดนี้ครับ
นอกจากแชมป์ 14 รายการที่บอกไปข้างต้นแล้ว ใน 231 นัดที่รับใช้ทีมมา เบลทำได้ถึง 102 ประตูกับอีก 65 แอสซิสต์ หรือคิดเป็น 0.72 ประตูหรือแอสซิสต์ต่อนัด ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจ และในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาคือ 1 ใน 3 ประสานที่น่ากลัวที่สุดในโลก ‘BBC’ (เบล-เบนเซมา-คริสเตียโน)
แต่ถ้าเทียบกับความคาดหวังที่มีต่อเขาแล้ว สำหรับแฟนมาดริด ผลงานของสตาร์ชาวเวลส์นั้นผ่านเพียงแค่คาบเส้นเท่านั้น เพราะสิ่งที่พวกเขาหวังจากเบลนั้นมากกว่านี้มากมายนัก และเขาทำได้ไม่ถึงครึ่งของที่ คริสเตียโน โรนัลโด ทำได้
เบลหลีกเลี่ยงการถูกนำไปเปรียบเทียบแบบนี้ไม่ได้ และต้องยอมรับว่าเขาพ่ายแพ้ให้แก่โรนัลโด ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
และไม่ว่าโรนัลโดจะอยู่หรือไปจากสโมสรแล้ว เบลก็ไม่เคยเป็นนักเตะที่อยู่ในใจของแฟนบอล
ส่วนหนึ่งเป็นความโชคร้ายที่เขามักจะประสบปัญหาอาการบาดเจ็บรังควานตลอด พอเล่นดีก็เจ็บ หรือเล่นไม่ดีก็เจ็บ ตลอดระยะเวลา 6 ปีในเบอร์นาบิว เขาบาดเจ็บรวมมากถึง 22 ครั้ง และคิดจำนวนนาทีเฉลี่ยในการเล่นแล้ว เบลเล่นได้เพียงแค่ 53% ของจำนวนนาทีทั้งหมดที่เขาควรจะได้ลงสนาม
สื่อสเปนถึงกับตั้งสมญาว่าเบลเป็น ‘Mr Glass’
ไม่ต้องตก แค่จิ้มเบาๆ ก็แตก
อย่างไรก็ดี ในสิ่งเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ครับ และหากตัดเรื่องพวกนี้ออก เบลเองก็มอบความสุขและความทรงจำดีๆ ให้กับแฟนบอลเอาไว้ไม่น้อย
สิ่งที่ทำให้เขาตกที่นั่งลำบากในทุกวันนี้จริงๆ แล้วมาจากเรื่องเล็กๆ สิ่งเล็กๆ ที่เหมือนจะไม่สำคัญ แต่สำคัญอย่างยิ่ง 2 เรื่องครับ
สำคัญในขนาดที่ทำให้เขากลายเป็น ‘ส่วนเกิน’ ของทุกคนที่มาดริด
เรื่องที่ 1 คือเรื่องของ ‘ภาษา’ ครับ
การที่เบล ไม่เคยอยู่ในดวงใจของแฟนบอลได้ไม่ใช่แค่เรื่องอาการบาดเจ็บหรือการทำผลงานไม่ได้ตามความคาดหวังครับ แต่เป็นเพราะเบลไม่เคยพูดหรือสื่อสารกับพวกเขาด้วยภาษาสเปนเลย
ทั้งนี้แม้จะมีความเชื่อว่าไม่ใช่เบลพูดไม่ได้ เพราะก็มีการพูดคุยสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมอยู่ เพียงแต่ในการพูดออกสื่อแล้วอู้บ่จ้างของเขาทำให้เขาเลือกที่จะเลี่ยงในการพูดภาษาสเปนกับสื่อ ซึ่งสำหรับแฟนบอลแล้ว มันทำให้เกิดความเหินห่างอย่างไม่น่าให้อภัย
ทั้งๆ ที่หากเขาพูดไม่เก่ง แค่พูดบ้างสักคำสองคำก็จะทำให้แฟนบอลเกิดความรู้สึกอยากต้อนรับ เพราะว่าเป็น ‘ครอบครัว’ เดียวกันแล้ว
เหมือนที่ โทนี โครส ชอบตอบคำถามสื่อเป็นภาษาสเปน หรืออย่าง อารอน แรมซีย์ ที่พูดภาษาอิตาลีในการแถลงข่าวเปิดตัวกับยูเวนตุส
หรือกรณีศึกษาใกล้คนไทยอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่พยายามเรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อสื่อสารกับทุกคน ไม่ว่าจะกับเพื่อนร่วมทีมและสื่อ (เขาเก่งขนาดที่เคยให้สัมภาษณ์เป็นภาษาญี่ปุ่นออกรายการโทรทัศน์มาแล้ว) และสำคัญที่สุดคือกับแฟนบอล การพูดคุยอย่างเป็นกันเองทำให้ชนาธิปเป็นที่รักของทุกคน
หรือล่าสุดก็มีกรณีของ ทาเคฟุสะ คุโบะ ไอ้หนูมหัศจรรย์ชาวญี่ปุ่นที่ย้ายจากเอฟซี โตเกียว เพื่อไปอยู่กับเรอัล มาดริด และกลายเป็นที่เอ็นดูของใครต่อใครมากมายได้อย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแค่เรื่องของอุปนิสัย แต่ยังเป็นเรื่องของการสื่อสารด้วยภาษาสเปนที่คล่องแคล่ว (ซึ่งมาจากการที่คุโบะเคยมาเป็นเด็กฝึกหัดของบาร์เซโลนาในลามาเซียมาหลายปี)
ยิ่งสื่อสาร ยิ่งเข้าใจ
เรื่องที่ 2 คือเรื่องของ ‘มิตรไมตรี’
ระหว่างเบลกับเพื่อนร่วมทีมเองต่างไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากนัก เขาถูกวิจารณ์อย่างมากกับการที่เป็นคนชอบเก็บตัวเงียบ ชอบอยู่บ้าน เข้านอนเร็ว ไม่ออกมาพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมทีม ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ตัวเขาเองมองว่าไร้สาระ ไม่เกิดประโยชน์อันใดกับชีวิต
การเป็นคน Introvert ที่ชอบเก็บตัวไม่ใช่เรื่องผิดอะไรครับ แต่การอยู่ในสังคม บางครั้งก็จำเป็นต้องมีสัมพันธ์กับคนรอบข้างบ้าง
เหมือนคนเฒ่าคนแก่ท่านว่าไว้ ‘เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม’
ยิ่งนานวันเข้า ความสัมพันธ์ก็ยิ่งแย่ลง แย่ถึงขั้นที่ในช่วงฤดูกาลที่แล้วเบลปฏิเสธที่จะฉลองประตูร่วมกับเพื่อนร่วมทีม ทั้งๆ ที่เพื่อนมาร่วมแสดงความยินดีด้วย เพราะรู้ว่าเขากำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ทั้งบาดเจ็บและฟอร์มการเล่นตก
มันยิ่งทำให้เขาโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเพื่อนจะอยากยื่นมือเข้ามาช่วยแค่ไหนก็ตาม
เช่นกันกับความสัมพันธ์กับเจ้านายอย่าง ซีเนดีน ซีดาน หรือแม้แต่กับ ซานติอาโก โซลารี ที่เข้ามาทำงานแทนซีดานในฤดูกาลที่แล้ว ที่เบลแสดงความกระด้างกระเดื่องอย่างเห็นได้ชัด
จนสุดท้ายซีดานทนไม่ไหว ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการกำจัดคนที่เขามองว่าไม่คู่ควรที่จะใส่ชุดขาวของเรอัล มาดริด ลงสนาม โดยเบลเป็นนักเตะคนที่ตำนานลูกหนังชาวฝรั่งเศสต้องการที่จะโละทิ้งออกจากทีมให้ได้เป็นคนแรกโดยไม่สนวิธีการ ไม่สนว่าใครจะพูดอะไร
เรายังไม่รู้ครับว่าเรื่องของเบลจะจบอย่างไร แม้จะพอคาดเดาได้โดยไม่ต้องสปอยล์ว่าเขาคงอยู่ในเบอร์นาบิวต่อไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครเอาแล้ว
แต่สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากเรื่องนี้คือต่อให้เป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกที่เก่งในระดับที่พลิกฟ้าผ่าปฐพีได้แบบนี้ก็สามารถตกระกำลำบากได้ เพียงเพราะสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้เขาไม่ได้เป็น ‘ที่รัก’ ของทุกคน
ทั้งๆ ที่หากสื่อสารกับแฟนบอลแบบที่พวกเขาอยากได้ยินบ้าง ไปเที่ยวไปเล่นกับเพื่อนบ้างตามมารยาท ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ก็ยังมีคนพร้อมจะยื่นมือช่วยหรือเอาตัวปกป้องเขาบ้าง
ถ้าต้องจบแบบนี้จริงๆ ก็น่าเสียดายนะครับ ว่าไหม
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- หนึ่งในจุดเริ่มต้นของจุดจบกับซีดานคือเกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 2018 ที่เขาถูกดรอปเป็นตัวสำรอง แต่ลงมาเป็นฮีโร่ทำคนเดียว 2 ประตูให้ทีมคว้าแชมป์ จบเกมนั้นเบลพูดชัดเจนว่า “เขาผิดหวังที่เป็นตัวสำรอง”
- ถึงจะไม่ค่อยสังสรรค์กับเพื่อน แต่เมื่อมีเวลาว่าง เบลมักจะออกไปตีกอล์ฟเสมอ และเขาเล่นเยอะจนสื่อตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในเรื่องนี้
- ที่เกมในบ้านนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่ผ่านมา เบลไม่เดินขอบคุณแฟนบอลรอบสนามร่วมกับเพื่อน
- แม้จะได้โอกาสลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องนัดล่าสุดกับอาร์เซนอล แต่ซีดานยืนยันสถานการณ์เดิมว่าเรอัล มาดริด พยายามหาทางปล่อยเบลออกจากทีม
- หนึ่งในเหตุผลประกอบคือการที่เบลมีค่าเหนื่อยมหาศาล ทำให้หากมาดริดต้องการสตาร์คนอื่น เช่น เนย์มาร์ ที่มีโอกาสจะได้ตัวในซัมเมอร์นี้ พวกเขาต้องปล่อยตัวออกเพื่อสภาพคล่องทางบัญชีภายในทีม
- ค่าเหนื่อยมหาศาลของเบลเกือบครึ่งล้านปอนด์ต่อสัปดาห์ทำให้เขาติดกับดักชีวิต เพราะไม่มีสโมสรไหนที่พร้อมจ่ายขนาดนี้ ยกเว้นข่าวลือกับสโมสรในจีนที่พร้อมเพิ่มค่าเหนื่อยให้เพื่อดึงตัวไปร่วมทีม
- สิ่งที่เบลเผชิญจากแฟนเรอัล มาดริด ในเรื่องการโห่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพวกเขาขึ้นชื่อในเรื่องการโห่ใส่ผู้เล่นของตัวเอง แม้กระทั่งตำนานอย่าง ราอูล กอนซาเลซ หรืออีเกร์ กาซิยัส เมื่อไม่ถูกใจก็โดนปฏิบัติด้วยอย่างโหดร้าย