ดูเหมือนว่าสงครามในตลาดการเงินที่รายย่อยได้โต้กลับนักการเงินในวอลล์สตรีท โดยเฉพาะกลุ่มเฮดจ์ฟันด์จะเริ่มขยายวงกว้าง จากจุดเริ่มต้นที่มีผู้ใช้งานในเว็บ Reddit ห้อง WallStreetBets ที่เป็นชุมชนขนาดใหญ่คล้ายเว็บ Pantip.com ในบ้านเรา ได้โพสต์วิเคราะห์ว่าหุ้น GameStop ที่เป็นร้านขายเครื่องเล่นเกมและแผ่นเกมที่แนวโน้มธุรกิจกำลังถูกดิสรัปต์จากการที่ผู้บริโภคซื้อเกมผ่านช่องทางดิจิทัลนั้น ราคายังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และได้ถูกยืมหุ้นไปขายล่วงหน้า หรือที่เรียกว่า Short Sell เป็นจำนวนมาก
ชาวชุมชนใน Reddit จึงได้ชักชวนนักลงทุนคนอื่นให้ซื้อหุ้นตัวนี้ ส่งผลให้ราคาปรับตัวจากระดับ 39 ดอลลาร์สหรัฐ จากวันที่ 19 มกราคม 2564 ขึ้นไปที่ 347 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 27 มกราคม 2564 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 789% โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ เรียกได้ว่ากองทุน ARK Invest หรือบิตคอยน์ที่สร้างผลตอบแทนได้สูงมากในปีก่อนก็เทียบไม่ติดเลยทีเดียว
GameStop Short Squeeze จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากแค่ไหน
โดยปกติแล้วหุ้นที่ไม่ได้มีน้ำหนักในดัชนีสูงจะไม่ค่อยกระทบกับตลาดหุ้นในภาพรวมเท่าใดนัก แต่ในครั้งนี้เพราะว่ามีกองทุนอย่าง Melvin Capital ซึ่งมีผู้ร่วมลงทุนอย่างบริษัท Citadel และ Point72 ได้ทำการ Short Sell หุ้น GameStop ไว้เป็นจำนวนมาก โดยจะได้กำไรหากหุ้นปรับตัวลดลง แต่ในทางกลับกัน หากหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจะสามารถขาดทุนมากกว่าเงินต้นที่ลงทุนไว้ เพราะหุ้นนั้นราคาปรับลดลงได้ไม่ต่ำกว่า 0 แต่ตอนปรับตัวขึ้นนั้นกลับไม่มีเพดานจำกัดไว้ หรือเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่ ‘จำกัดกำไร แต่ไม่จำกัดขาดทุน’
อีกทั้งการที่นักลงทุนรายย่อยดันหุ้นขึ้นไปทำให้บริษัทที่เงินทุนจำกัดต้องจำใจปิดสถานะทั้งที่ขาดทุนโดยการที่ต้องนำเงินไปซื้อหุ้นในตลาดมาคืน หรือถูก ‘Short Squeeze’ ก็ยิ่งเป็นการเร่งให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอีก โดยสื่อต่างประเทศคาดว่าผู้ที่ทำการ Short Sell ในครั้งนี้จะเสียหายราว 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6 แสนล้านบาท
คำถามที่สำคัญก็คือปัจจุบันคนที่ Short Sell นั้นยอมแพ้หรือปิดสถานะหรือยัง เพราะหากยังไม่ปิดสถานะ กองทุนจะต้องมีเงินใหม่เข้ามาเพื่อค้ำเป็นหลักประกันหรือสำรองไว้เพื่อซื้อหุ้นที่ยืมไปขายล่วงหน้ามาคืน ซึ่งวิธีง่ายที่สุดก็คือการที่กองทุนจะขายหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนเพื่อมาชดเชยนั่นเอง แต่ก็อาจจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือตลาดหุ้นทั่วโลกอาจปรับตัวลดลงได้ในระยะเวลาอันสั้นนี้
นอกจากนั้นเมื่อนักลงทุนรายย่อยเห็นวิธีการเช่นนี้ได้ผลกับหุ้น GameStop จึงทำให้มีการชักชวนซื้อหุ้นขนาดเล็ก เช่น หุ้น Koss ผู้ผลิตหูฟัง, หุ้นโรงหนัง AMC และหุ้น BlackBerry ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเหล่านี้ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในระยะเวลาอันสั้น
ไม่นับการที่ผู้มีชื่อเสียงหลายคนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ทั้ง ไมเคิล เบอร์รี ผู้ที่ทำกำไรจากเหตุการณ์ Hamburger Crisis ในปี 2008 หรือที่เราอาจรู้จักจากภาพยนตร์เรื่อง The Big Short ที่ได้กำไรจากการลงทุนในหุ้น GameStop กว่า 1,500% หรืออีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla ก็มีการใช้ทวิตเตอร์พูดถึงหุ้น GameStop และไม่เห็นด้วยกับการที่วงการวอลล์สตรีทออกกฎไม่ให้นักลงทุนซื้อหุ้น GameStop เพื่อกันการปั่นหุ้น แต่ไม่มีการห้ามนักลงทุนสถาบันในการซื้อหรือทำการ Short Sell
Money Game ในครั้งนี้จะจบลงอย่างไร
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อาจจะทำให้ภาครัฐเข้ามาปรับกฎเกณฑ์ในด้านตลาดการเงินรวดเร็วและเข้มขึ้น เพราะตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นไม่มีการจำกัดการปรับตัวสูงสุดเหมือนตลาดหุ้นบ้านเราที่จำกัดการเพิ่มขึ้นหรือลดลงสูงสุดวันละ 30% ทำให้สามารถเกิดภาวะที่ตลาดมีการเก็งกำไรได้รวดเร็วอย่างที่เห็นในเหตุการณ์นี้ เหมือนกับกรณีหลังวิกฤต Hamburger Crisis ในปี 2008 ที่ทาง ก.ล.ต. สหรัฐฯ ได้ปรับห้ามทำการ Naked Short ซึ่งคือการทำ Short Sell โดยผู้ขายไม่ได้มีการยืมหุ้นมาไว้ก่อนในวันที่สั่งขายหุ้น โดยในครั้งนี้เราอาจเห็นการเข้ามาปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการจำกัดการ Short Sell หรือการจำกัดการ Leverage ของนักลงทุนก็เป็นไปได้ อีกทั้งทางรัฐบาลของ โจ ไบเดน และเจเน็ต เยลเลน ก็จับตาเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดกับกรณีนี้เช่นกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเซนทิเมนต์ตลาด และทำให้นักลงทุนเริ่มรู้สึกว่าต้องลดความเสี่ยงจากการที่ตลาดหุ้นร้อนแรงเกินไป โดยลดสัดส่วนในการถือหุ้นลงไปบ้าง ส่งผลในช่วงนี้อาจจะเห็นการปรับฐานของตลาดหุ้นบ้าง
โดยหากมองในแง่มุมของปัจจัยพื้นฐานนั้น หุ้นร้านเกมที่มีผลประกอบการขาดทุน แต่มีการซื้อขายที่กว่า P/BV 60 เรียกได้ว่าเป็นราคาที่แพงอย่างแน่นอน แต่ผมขอยกคำพูดของ เบนจามิน เกรแฮม ซึ่งเป็นอาจารย์ของนักลงทุนเอกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ว่า “ในระยะสั้น ตลาดหุ้นเป็นเครื่องโหวตลงคะแนนเสียง แต่ในระยะยาว ตลาดหุ้นเป็นเครื่องชั่งน้ำหนัก” หรือหมายความว่าในระยะสั้นมันไม่เกี่ยวหรอกครับว่าหุ้นตัวไหนจะถูกหรือแพง ใครจะวิเคราะห์ผิดหรือถูก มันสำคัญแค่ว่าเงินฝั่งไหนมากกว่า ฝั่งนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ หรือที่เราชอบเรียกกันว่า Money Game นั่นเอง
ด้วยความที่นักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในภาวะโลภ นักลงทุนหน้าใหม่เห็นคนที่ลงทุนก่อนหน้าได้กำไรไปมากก็จะเข้ามาลงทุนตามๆ กัน โดยหากมีเงินใหม่เข้ามาก็จะทำให้สามารถดันฟองสบู่ขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ จนกว่าที่จะมีใครสักคนได้สติ นึกถึงความเป็นเหตุผลขึ้นมาว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นการเก็งกำไร ก็จะเป็นจุดจบของ Money Game ในครั้งนี้
เหตุการณ์ในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของฟองสบู่ตลาดหุ้นหรือไม่
การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของหุ้น GameStop นั้น นอกเหนือจากปัจจัยที่ชาวชุมชน Reddit รวมกันไล่ซื้อหุ้นแล้วยังมาจากปัจจัยของตัวเศรษฐกิจเองด้วย ทั้งการที่ภาครัฐออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างล้นหลาม โดยมีการแจกเงินช่วยเหลือรายเดือนให้กับคนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และสภาวะดอกเบี้ยต่ำ และการที่ผู้คนมีการ Work from Home มากขึ้น ทำให้มีนักลงทุนรายย่อยซื้อขายหุ้นผ่านทางแอปพลิเคชันมากขึ้น ประกอบกับตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นทำ New High ได้ ก็ยิ่งทำให้คนที่ได้กำไรจากตลาดหุ้นรู้สึกฮึกเหิมว่าได้กำไรมาง่าย ก็ยิ่งเอาเงินเข้ามาใส่ตลาดหุ้นเพิ่มเข้าไปอีก
ด้วยปัจจัยที่กล่าวมานั้นเป็นการบ่งบอกถึงการเริ่มต้นภาวะฟองสบู่ที่มาจากกลุ่มหุ้นขนาดเล็กก่อน โดยเรายังไม่เห็นฟองสบู่เข้าไปในหุ้นขนาดใหญ่ เพราะเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่กว่าและปัจจัยพื้นฐานดี ทำให้ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถทำการไล่ซื้อได้เหมือนหุ้น GameStop แต่สิ่งที่ต้องจับตาดูคือการที่นักลงทุนรายย่อยยังมีการใช้ Leverage ทั้งการซื้อหุ้นด้วย Margin หรือลงทุนใน Derivatives มากอยู่หรือไม่ โดยจากผลสำรวจของนักลงทุนรายย่อยในช่วงเดือนกันยายน มีนักลงทุน 43% ที่ลงทุนโดยใช้ Margin หรือซื้อ Options หรือการเปิดบัญชีนักลงทุนใหม่ที่ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น Robinhood แอพปพลิเคชันเทรดหุ้นนั้นยังมีคนดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นกว่า 6 แสนรายในช่วงสัปดาห์ผ่านมา
โดยหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นสัญญาณที่เราเห็นว่าตลาดเริ่มเข้าสู่สภาวะฟองสบู่มากขึ้น ซึ่งนักลงทุนควรจะต้องระมัดระวังอย่างมากหากจะเข้าลงทุนในหุ้นที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในช่วงนี้ และหากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงหากธนาคารกลางเริ่มดึงสภาพคล่องออกจากระบบนั้น ก็จะเป็นการที่ฟองสบู่อาจจะแตกได้ในท้ายที่สุด
กรณีหุ้น GameStop จะเกิดกับตลาดหุ้นไทยเราหรือไม่
ตลาดหุ้นไทยนั้นค่อนข้างแตกต่างกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะเรามีการจำกัด Floor / Ceiling ที่ให้หุ้นปรับตัวขึ้นลงได้ไม่เกินวันละ 30% รวมถึงการที่หากเห็นการเก็งกำไรในหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ทางตลาดหลักทรัพย์ก็มีการใช้มาตรการประกาศ Cash Balance ให้ต้องใช้เงินเต็มจำนวนในการซื้อขายหุ้นเท่านั้น เพื่อลดภาวะเก็งกำไรในตลาด อีกทั้งสถานะ Short Sell ของหุ้นไทยนั้นยังมีสัดส่วนที่น้อยและไม่สามารถทำการ Naked Short ได้ ทำให้ภาวะฟองสบู่ที่จะเกิดจากการถูก Short Squeeze เหมือนกรณีหุ้น GameStop ค่อนข้างจะทำได้ลำบากครับ
สุดท้ายนี้ผมก็อยากให้ผู้อ่านทุกท่านย้อนกลับมามองว่าเป้าหมายที่เราเข้ามาในตลาดหุ้นนั้นเพื่ออะไร ถ้าหากเป้าหมายคือการลงทุน ไม่ใช่การเก็งกำไร เราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจหุ้นหรือฟองสบู่ที่คนส่วนใหญ่กำลังไปเข้าร่วมอยู่ เพราะการลงทุนนั้นไม่ใช่ดูเพียงราคา แต่เราต้องดูถึงคุณภาพและมูลค่าของสิ่งที่เราลงทุนด้วยครับ เพื่อที่เราจะสามารถสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องได้บรรลุเป้าหมาย หรืออย่างน้อยก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจว่าเงินที่เราลงทุนไปนั้นทำงานให้เราอย่างเต็มที่ครับ
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์